วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ฝึกสมาธิ สิ่งจำเป็นที่สุดในการทำงาน




ความรู้เกี่ยวกับ  :  ฝึกสมาธิ   สิ่งจำเป็นที่สุดในการทำงาน
โดย : นางศรันยา  บุญปราณีต
สำนักงานคลังจังหวัดขอนแก่น

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในชีวิตการทำงานนั้น เราจึงจำเป็นต้องสร้างสมาธิในการทำงาน เพราะสมาธิเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการทำงานทุกประเภท
ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาก็ต้องมีสมาธิในการเรียน คนขับแท็กซี่ก็ต้องมีสมาธิในการขับรถ หมอก็ต้องมีสมาธิในการตรวจคนไข้ รวมถึงพวกเราชาวคลังทั้งหลายก็ต้องใช้สมาธิในการทำงานด้วย เพราะสมาธิจะช่วยให้เราทำงานได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ใครที่รู้ตัวว่า ไม่ค่อยจะมีสมาธิในการทำงานลองมาฝึกสมาธิ ตามขั้นตอนง่ายๆ  คือ 
อย่างแรกลองฝึกขั้นง่ายๆ กันก่อน นั่นคือการอ่านหนังสือ หลายคนคงจะงง เพราะตอนนี้คุณกำลังอ่านอยู่ อ่านหนังสือจะฝึกสมาธิได้อย่างไร การอ่านหนังสือที่แนะนำไม่ใช่การอ่านแบบกวาดสายตาผ่านๆ ไปแบบรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เป็นการอ่านที่คุณห้ามละสายตาจากตัวอักษรนั้นๆ เลย เรียกว่าอ่านแบบพยายามหาว่ามันมีตัวไหนที่เขาเขียนผิดหรือเปล่า ค่อยๆ อ่าน ไม่ต้องรีบ แรกๆ ลองตั้งเวลาสัก 5 นาทีก่อน ถ้าคุณทำได้โดยที่คุณไม่ละสายตาไปสนใจสิ่งรอบข้าง ครั้งต่อไปคุณก็เพิ่มเวลาเป็น 10 นาที 15 นาที แล้วคุณจะมีสมาธิกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มากขึ้น
ขั้นต่อมา ลองตั้งใจฟังบ้าง  เพราะหลายๆ คน บางครั้งเจ้านายสั่งอย่าง แต่เรากลับไปทำอีกอย่าง ของแบบนี้มันต้องมีผิดพลาดกันได้บ้าง แต่คุณควรจะแก้ไขโดยฝึกสมาธิในการรับฟัง  โดยเริ่มจากการฟังเทปบันทึกเสียงหรือคำสอนต่างๆ ที่ไม่ใช่เพลง เพราะถ้าเป็นเพลงคุณอาจจะเพลิดเพลินกันจนไม่ได้จับใจความสำคัญ ฝึกไปเรื่อยๆ เลย  จนคุณแทบจะจำทุกคำพูดในเทปนั้นได้คราวนี้จะได้มีสมาธิในการฟัง
อีกขั้นตอนหนึ่ง ลองลงมือจัดเอกสารต่างๆ ของคุณให้เป็นที่เป็นทาง นับเป็นการฝึกสมาธิให้คุณได้ เพราะขณะที่คุณจัดเอกสารอยู่ คุณก็ต้องนึกว่าเอกสารฉบับนี้เราวางไว้ตรงนี้ ฉบับนั้นเราวางไว้ในตู้ อะไรทำนองนี้ เรียกว่าเป็นการย้ำความจำของเราอีกที แถมพอคราวหน้าเรามาหาเอกสารฉบับนั้นๆ จะได้ไม่ต้องรื้อโต๊ะกันให้วุ่นอีกด้วย

ต่อมาลองจัดลำดับความสำคัญของงานดูว่างานไหนสำคัญที่สุด ถ้าคุณยังนึกไม่ออก ลองนึกดูว่างานชิ้นไหนของคุณทำแล้ว คนอื่นๆ สามารถรับงานต่อจากคุณได้ หรือเป็นงานเร่งจริงๆ ถ้าไม่ได้ภายในชั่วโมงนี้หรือวันนี้ คนอื่นจะได้รับความเดือดร้อน นั้นแหละครับ รีบทำไปก่อนเลย คราวนี้คุณก็ไล่งานอื่นๆ ดูว่าต้องอันไหนต่อ เป็นการทวนตัวเองด้วยว่าวันนี้คุณมีงานอะไรต้องทำบ้าง
ข้อสุดท้าย ทัศนคติกับงานที่คุณทำอยู่ ถ้าใครมีทัศนคติไม่ดีกับงานที่ตัวเองทำอยู่ ต่อให้เทพก็ไม่สามารถที่จะมีสมาธิในการทำงานได้ เพราะคุณจะหาแต่ข้ออ้างมาปฏิเสธงานต่างๆ ที่เข้ามา เพราะฉะนั้นคุณควรปรับเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ เพื่อการทำงานที่ราบรื่น
ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเป็นตัวคุณเอง ที่ต้องฝึกทั้งสมาธิ ฝึกทั้งการควบคุมอารมณ์ของตนเอง เมื่อจิตใจสงบ มีสมาธิสติในการทำงานก็จะตามมา งานของคุณก็จะผิดพลาดน้อยลง 

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การจัดการมาตรการทางการค้าของอาเซียน ในยุค AEC


ความรู้เกี่ยวกับ  : การจัดการมาตรการทางการค้าของอาเซียน ในยุค AEC
โดย : นายเอกพันธ์ สินสกลวัฒน์ นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน : กลุ่มงานความตกลงระหว่างประเทศพหุภาคี

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 2 ปีที่อาเซียนจะก้าวเข้าสู่การเป็น “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน”
หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า “AEC” ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนตั้งเป้าหมายไว้ว่า การนำเข้าและส่งออก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าและวัตถุดิบ ตลอดจนถึงการค้าบริการ การลงทุน เงินทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือระหว่างประเทศสมาชิกทั้งหมดจะเสรีมากขึ้น เพื่อให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
อาเซียนมีความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน หรือ ASEAN Trade in Goods Agreement (ATIGA) ไว้เป็นข้อผูกพันของประเทศสมาชิกที่จะต้องลดและยกเลิกการใช้ “มาตรการทางการค้า” ที่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างกันในกลุ่ม โดยมาตรการทางการค้า ในที่นี้หมายถึง มาตรการ กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ของภาครัฐ ที่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
- มาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) : สมาชิกอาเซียนจะต้องยกเลิกการเรียกเก็บภาษีขาเข้ากับสินค้าของประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น เมื่อสินค้านั้นผลิตได้ตามเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียน นับจนถึงเวลานี้ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ได้ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากอาเซียนแล้วตั้งแต่ปี 2553 สำหรับประเทศสมาชิกกลุ่ม CLMV คือ กัมพูชา เมียนม่าร์ ลาว และเวียดนาม จะต้องยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดภายในปี 2558
- มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร (Non Tariff Measures) ความตกลง ATIGA ห้ามการใช้มาตรการที่เป็นอุปสรรคทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการนำเข้าและส่งออกระหว่างกันในอาเซียน และยอมรับให้ใช้เฉพาะมาตรการที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก เช่น ให้ใช้เฉพาะมาตรการเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตคน สัตว์ พืช อาหาร โดยมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับ เป็นต้น
เมื่อยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าในอาเซียน มีแนวโน้มที่หลายประเทศจะนำมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีมาใช้หลายรูปแบบขึ้น ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัยต่อการบริโภคอย่างแท้จริง หรือมีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อปกป้องตลาดภายในประเทศก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่ามาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีเหล่านี้ มีผลกระทบต่อการค้า มากกว่าการเก็บภาษีนำเข้าเสียอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้อาเซียนจะทำอย่างไร เพื่อที่จะให้การค้าสินค้าในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะมีการเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างประเทศสมาชิกได้อย่างเสรีโดยแท้จริง
อาเซียนใช้ข้อผูกพันภายใต้ความตกลง ATIGA และ AEC Blueprint เป็นกฎเกณฑ์หลักในการยกเลิก
มาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้า ซึ่งกำหนดไว้ว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องไม่ใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างสมาชิก โดยต้องทบทวนมาตรการที่มิใช่ภาษีของตนเองว่ามีมาตรการใดที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าสู่ตลาดภายในหรือไม่ เช่น มีการใช้มาตรการจำกัดปริมาณ มาตรการโควตาในรูปแบบต่างๆ หรือมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าต่างๆ เป็นต้น และให้ทบทวนหรือยกเลิกมาตรการนั้น รวมถึงเปิดให้ประเทศสมาชิกอื่นสามารถตรวจสอบได้ด้วย
ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ยกเลิกมาตรการทางการค้าที่เป็นข้อจำกัดการเข้าสู่ตลาดแล้วตั้งแต่ปี 2553 โดยในส่วนของไทยได้ยกเลิกมาตรการโควตาภาษีสินค้าเกษตร 23 รายการที่ไทยมีข้อสงวนไว้ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก โดยเปิดตลาดให้กับอาเซียนตั้งแต่ปี 2553 ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง หอมหัวใหญ่กระเทียม ไหมดิบ น้ำมันปาล์ม เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ลำไยแห้ง มันฝรั่ง ใบยาสูบ น้ำตาล น้ำมันถั่วเหลืองพริกไทย ถั่วเหลือง ข้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง มะพร้าว น้ำมันมะพร้าว ชา เมล็ดกาแฟ กาแฟสำเร็จรูป น้ำนมดิบ/นมปรุงแต่ง และนมผงขาดมันเนย ขณะนี้เหลือเพียงเวียดนามที่จะต้องยกเลิกการใช้มาตรการโควตาภาษีกับสินค้า 4รายการ คือ น้ำตาล ใบยาสูบ เกลือ และไข่ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2558
ความตกลง ATIGA ยังกำหนดให้ประเทศสมาชิกจะต้องแจ้งให้ประเทศสมาชิกอื่นรู้เมื่อมีการนำมาตรการทางการค้าใดๆ มาใช้ เพื่อความโปร่งใส และจะต้องปรับปรุงฐานข้อมูลมาตรการทางการค้าของตนเองให้เป็นปัจจุบัน และจัดจำแนกมาตรการทางการค้าให้เป็นไปตามหลักสากล โดยใช้ระบบการจัดจำแนกของ UNCTAD มาเป็นต้นแบบการจัดระบบมาตรการทางการค้าของอาเซียน ซึ่งฐานข้อมูลนี้จะเผยแพร่อยู่บนเว็ปไซต์ของสำนักเลขาธิการอาเซียน และในอนาคต อาเซียนจะมีระบบคลังข้อมูลทางการค้า (ASEAN Trade Repository) ซึ่งจะรวบรวมมาตรการทางการค้าทั้งหมด ทั้งที่เป็นมาตรการภาษีและที่มิใช่ภาษี รวมถึงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของประเทศสมาชิกทุกประเทศเข้าไว้เป็นแหล่งเดียวกัน โดยขณะนี้ทุกประเทศกำลังเร่งดำเนินการจัดทำระบบคลังข้อมูลทางการค้าภายในของตนเอง ก่อนที่จะเชื่อมโยงกันทั้งหมดเพื่อเป็นระบบคลังข้อมูลการค้าอาเซียนภายในปี 2558
นอกเหนือไปจากข้อกำหนดตามแผน AEC Blueprint และความตกลง ATIGA ในการจัดทำข้อมูลทาง
การค้าของอาเซียนให้เป็นระบบแล้ว อาเซียนกำหนดให้เรื่องการจัดการด้านมาตรการทางการค้าจะต้องทำงานเชื่อมโยงกันทั้งในระดับภูมิภาคและภายในประเทศ โดยภายใต้แผนการดำเนินการด้านมาตรการทางที่มิใช่ภาษีของอาเซียน กำหนดให้ทุกประเทศจะต้องจัดตั้งหน่วยงานกลาง หรือคณะกรรมการรับผิดชอบเฉพาะด้านมาตรการที่มิใช่ภาษีในแต่ละประเทศ ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการทางการค้าของประเทศ รวมทั้งทบทวนและปรับปรุงมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับข้อตกลง ATIGA และให้มีกลไกการรายงานผลไปยังคณะกรรมการประสานงานการดำเนินการภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (CCA) ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศทำหน้าที่ติดตามการดำเนินการด้านการค้าสินค้าของอาเซียน กล่าวคือ เมื่อมีการร้องเรียนจากประเทศสมาชิกอาเซียนหนึ่ง ว่ามาตรการทางการค้าของอีกประเทศหนึ่งหรือประเทศอื่นๆ ไม่สอดคล้องกับความตกลง ATIGA หรือเป็นอุปสรรคต่อการค้าของประเทศใดหรือหลายประเทศ คณะกรรมการหรือหน่วยงานดังกล่าวนี้ จะต้องทบทวนหรือหาแนวทางปรับปรุงมาตรการการค้านั้น หรือแม้แต่พิจารณายกเลิกการใช้มาตรการนั้น แต่หากประเทศสมาชิกที่ได้รับการร้องเรียนไม่ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้สอดคล้องกับความตกลง ประเทศสมาชิกที่เสียหายมีสิทธิที่จะฟ้องร้อง โดยใช้กลไกระงับข้อพิพาทของอาเซียนได้
ล่าสุดอาเซียนได้รวบรวมข้อร้องเรียนเกี่ยวกับมาตรการทางการค้าที่ประเทศสมาชิกต่างๆ พบว่าเป็น
ปัญหาอุปสรรคต่อการค้า ทั้งที่มีการร้องเรียนโดยภาคเอกชนและโดยภาครัฐของประเทศสมาชิก เพื่อให้ประเทศสมาชิกหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนเหล่านั้นโดยเร็ว ขณะนี้มีข้อร้องเรียนกว่า 65 เรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวกับการขออนุญาตนำเข้า ขั้นตอนการตรวจสอบมาตรฐาน และข้อจำกัดการนำเข้าต่างๆ ซึ่งข้อร้องเรียนเหล่านี้จะนำไปเผยแพร่ไว้ที่เว็ปไซต์ของสำนักเลขาธิการอาเซียน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาโดยประเทศสมาชิก
การดำเนินการที่กล่าวมานี้ มีวัตถุประสงค์หลักคือ การสร้าง “ความโปร่งใส” และการกระตุ้นเตือนให้
ประเทศสมาชิก “ยึดมั่นในกฎกติกา” เพื่อให้อาเซียนเป็นประชาคมเศรษฐกิจที่มีกฎเกณฑ์และมีความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ประกอบการค้าในอาเซียน รวมถึงประเทศคู่ค้านอกกลุ่มอาเซียนด้วย


ที่มา
ส่วน AFTA Unit
สำนักอาเซียน
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ