วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

อัลไซเมอร์ โรคใกล้ตัวคนสูงวัย



ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวอินทิรา  ฉัตรมงคล >>>>>
ตำแหน่ง :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางปรีดาภรณ์  รักษ์เลิศวงศ์ >>>>>
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังชำนาญการ
ความรู้เกี่ยวกับ : อัลไซเมอร์” โรคใกล้ตัวคนสูงวัย
แม้ว่าโรคอัลไซเมอร์ จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงสนทนาต่างๆ แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อถามว่า อัลไซเมอร์เป็นอย่างไร อาการแบบไหน ใช่ ไม่ใช่...อัลไซเมอร์ ฯลฯ ก็มักจะเป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบ ดังนั้นคำอธิบายจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้น่าจะให้คำตอบได้ดีที่สุด
พญ.อุมามน พวงทอง จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ ให้ข้อมูลว่า โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของกลุ่มอาการสมองเสื่อม (dementia) ในประเทศไทย มีการศึกษาถึงความชุกของภาวะสมองเสื่อม โดยพบว่าคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 75 จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งมีแนวโน้ม    เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็น 2 เท่า ตามอายุของผู้ป่วยในทุกๆ 5 ปี เพศชายและเพศหญิงมีโอกาสเกิดโรคได้เท่าๆ กัน
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ แต่จากการวิจัยซึ่งก้าวหน้าอย่างมาก ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า น่าจะเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมบางตัว ความผิดปกติทางชีววิทยาในสมองที่เกิดจากการรวมตัวของโปรตีนที่ผิดปกติและถูกล้อมรอบด้วยเซลล์ประสาทที่เสื่อม  และเส้นใยฝอย (Fibril) ของโปรตีนที่มาพันรวมตัวกันผิดปกติก่อให้เกิดการพันกันยุ่งเหยิงของเซลล์ประสาท นำไปสู่การล่มสลายของโครงสร้างเครือข่ายเซลล์ประสาทในการที่จะติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน
พญ.อุมามน แจงถึงลำดับการดำเนินของโรคอัลไซเมอร์ให้ฟังว่า เป็นการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทอย่างช้าแต่จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีความแตกต่างระหว่างบุคคล หมายความว่า ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ระยะเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีอาการแบบเดียวกันเสมอไป อาการอาจมีการขึ้นๆ ลงๆ ได้ และการดำเนินโรคช้าเร็วต่างกันได้ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละคน โดยเฉลี่ยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้นานประมาณ 3-20 ปี โดยเฉลี่ยที่ประมาณ 8 ปี ขึ้นกับระยะเมื่อได้รับการวินิจฉัยและภาวะสุขภาพทางกายโดยรวมของผู้ป่วยนั้นๆ ด้วย สำหรับอาการหลักที่พบในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้น จิตแพทย์กล่าวว่า เป็นอาการหลงลืมที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหลงลืมเรื่องใหม่ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น ไปจนถึงไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ ถามคำถามเดิมซ้ำๆ เล่าเรื่องเดิมซ้ำๆ นึกคำพูดหรือประโยคไม่ออก เรียกชื่อสิ่งของผิด สับสนเรื่องเวลา สถานที่ รวมถึงอาจมีอารมณ์หงุดหงิด ซึมเศร้า วิตกกังวล ระแวง เห็นภาพหลอน อาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีผลกระทบต่อการดำเนินกิจวัตรประจำวัน โดยสรุปแล้วผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะมีความบกพร่องในด้านต่างๆ 4 ด้าน
1. ความบกพร่องด้านความจำ โดยเฉพาะความระยะสั้น คือ ความจำหลังจากรับรู้สิ่งเร้าแล้วเพื่อนำมาใช้งาน ความจำนี้จำได้นาน 20-30 วินาที ความจำระยะสั้นนี้จะสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว จึงต้องมีการทบทวนอยู่ตลอดเวลาจึงจะรักษาไว้ได้ ทำโดยการท่องซ้ำๆ เช่น เรากำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเพื่อขอเบอร์ของเพื่อนอีกคน เมื่อเพื่อนบอกหมายเลขโทรศัพท์แต่เราไม่มีสมุดจด ก็ท่องไว้ในใจ และรีบวางสายเพื่อต่อสายถึงเพื่อนคนนั้น แต่ในขณะที่เรากำลังกดเบอร์โทรศัพท์นั้นอยู่ ปรากฏว่า มีใครพูดแทรกขึ้นมา หรือชวนคุย ก็อาจทำให้เราลืมหมายเลขโทรศัพท์นั้นไปได้ทั้งๆ ที่ยังกดหมายเลขไม่จบ
2. ความบกพร่องด้านการใช้ภาษา การใช้เหตุผล รวมถึงอาจสับสนเรื่องวัน เวลา สถานที่    
 3.บุคลิกภาพ หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น มีพฤติกรรมซ้ำๆ หรือพูดซ้ำๆ ตลอด มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายที่ไม่เป็นที่เป็นทาง ผู้ป่วยอาจจะจำใครไม่ได้เลย หรือจำเรื่องราวบางสิ่งได้เป็นนาที และลืมภายในไม่กี่นาที
 4.ความบกพร่องในการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเอง เช่น การรับประทาน อาจเคี้ยว หรือกลืนอาหารเองไม่ได้ หรือการขับถ่าย รวมไปถึงเรื่องการดูแลความสะอาดของร่างกาย    
15 สัญญาณเตือน อัลไซเมอร์ กำลังมาเยือน
คุณเป็นคนขี้ลืมหรือเปล่า? เช่น ลืมว่าวางกุญแจรถไว้ที่ไหน ลืมว่าจะต้องทำอะไร ทั้งที่เตือนตัวเองมาตลอดทั้งวันแล้ว ลืมว่าจะพูดอะไร ทั้งที่เพิ่งคิดได้เมื่อกี้ หรืออะไรที่เคยทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่อยู่ ๆ กลับลืมวิธีทำ หรือทำแล้วรู้สึกว่าทำไมมันถึงได้ยากกว่าเมื่อก่อน บางทีนี่อาจจะไม่ใช่อาการขี้ลืมธรรมดาแล้วก็ได้ จริง ๆ แล้วอาการขี้หลงขี้ลืมก็มีกันอยู่ทุกคน แต่ส่วนใหญ่สาเหตุจะมาจากการที่เราไม่มีสมาธิกับการทำสิ่งนั้น ๆ จึงไม่ได้สนใจจดจำ หรือคิดทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ทำให้สมาธิในการจดจำสั้นลง แต่ในปัจจุบันมีการสำรวจพบว่าเพราะความเครียด มลพิษ ปัญหาต่าง ๆ ที่เร่งเร้า และอายุที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรากลายเป็นคนขี้ลืม และนำไปสู่โรคความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ ได้เช่นกัน
เพื่อให้คุณ ๆ ตั้งตัวรับโรคนี้ได้ทัน เรามาสำรวจตัวเองและคนรอบข้างจาก 15 สัญญาณที่เตือนว่าคุณอาจจะกำลังเข้าข่ายการเป็นอัลไซเมอร์ ดังนี้
1. หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
2. การตัดสินใจแย่ลง เปลี่ยนใจง่าย เช่น ถ้ามีเซลล์แมนมาขายของที่หน้าบ้านก็จะซื้อทันที ซึ่งจะต่างจากแต่ก่อนที่จะไม่ซื้อของพวกนี้เลยหรือ ไม่ใช้จ่ายอะไรง่าย ๆ ซึ่งข้อนี้มักจะนำไปสู่ปัญหาด้านการเงินด้วย คือใช้จ่ายแบบไม่คิด ใช้เงินโดยไม่คำนวณ ไม่มีการออมไว้เหมือนแต่ก่อน
3. งานหรือกิจกรรมอะไรที่เคยทำอยู่ประจำ จะกลายเป็นงานที่ทำได้ยากขึ้น เช่น ลืมวิธีผูกเนคไท ลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า หรือถ้าจะทำไข่เจียวก็แตกไข่แตกเละคามือ ลืมปรุง หรือทอดโดยไม่ใส่น้ำมัน เป็นต้น
4. วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอากระเป๋าสตางค์ไปใส่ไว้ในตู้เย็น เอาช้อนส้อมไปใส่ไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิด และยังใช้ชีวิตปกติทั้งที่ข้าวของยังวางผิดที่
5. สับสนเรื่องเวลา โดยมักจะคิดว่าเวลาผ่านไปนานกว่าปกติ เช่น นั่งรอห้านาทีก็จะคิดว่านั่งรอมาห้าชั่วโมงหรือเพิ่งใส่เสื้อตัวเก่งไปแล้วเมื่อวาน แต่คิดใส่เสื้อตัวนั้นไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เดือนก่อน เป็นต้น
6. สื่อสารกับคนอื่นยากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการพูด มักจะเรียงลำดับคำผิด ใช้คำผิด พูดผิด หรือคิดไม่ออกว่าจะใช้คำว่าอะไร จะพูดว่าอะไร
7. เดินออกไปข้างนอกอย่างไม่มีจุดหมาย มักจะเดินออกไปที่ไหนซักที่โดยไม่รู้ว่าจะไปทำไมไปทำอะไร
8. ทำกิจกรรมบางอย่างแบบมีเหตุผลและซ้ำ ๆ เช่น เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วก็ปิดทันที โดยที่ไม่ได้อยากหยิบอะไรพอเดินกลับมานั่งก็จะลุกขึ้นไปเปิดและปิดแบบเดิมอีกซ้ำ ๆ
9. ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องการตัดผม ตัดเล็บ หวีผม หรือลืมแม้กระทั่งว่าตื่นมาจะต้องล้างหน้าแปรงฟัน
10. แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พูดหรือทำในสิ่งที่โดยปกติจะไม่พูด เช่น พูดว่าคนอื่นว่าอ้วนออกมา   ตรง ๆ เพราะขาดความคิดในการชั่งใจ หรือตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดเหมือนตอนที่ยังไม่เริ่มมีอาการ
11. รู้สึกหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา หรือมักจะชอบคิดว่าตัวเองเห็นใคร หรืออะไรคอยซุ่มดูตัวเองอยู่ หรือกลัวคนจะมาทำร้ายตลอดเวลา
12. นอนหลับยาก กระสับกระส่ายในตอนกลางคืนมากกว่าแต่ก่อน
13. ถอยห่างออกมาจากครอบครัว เพื่อน รวมไปถึงกิจกรรมเดิม ๆ ที่เคยทำ เช่น ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เล่นกีฬาที่เคยเล่นประจำทุกวัน เป็นต้น
14. ชอบทำพฤติกรรมเหมือนเด็ก ๆ เช่น งอแงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ หรือดีใจเกินกว่าเหตุถ้าได้ของที่ต้องการ
15. พูดจาและแสดงอาการก้าวร้าว เช่น พูดว่าหรือด่าทอคนอื่น ทั้งที่แต่ก่อนไม่มีพฤติกรรมอย่างนี้มาก่อน
 นี่เป็นเพียงวิธีสังเกตอาการเพียงเบื้องต้น ที่เราสามารถสำรวจได้ด้วยตัวเอง แล้วถ้าใครมีอาการข้างต้นเกินกว่า 5 ข้อขึ้นไปก็ต้องพิจารณาตัวเองได้แล้วว่าอาจจะเข้าข่ายโรคอัลไซเมอร์ และทางที่ดีคือลองไปพบแพทย์ เพื่อตรวจอาการเพิ่มเติมจะดีที่สุด เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษา และเราสามารถป้องกัน หรือชะลอให้มันเกิดช้าลงได้
แนะ 9 วิธีป้องกัน “อัลไซเมอร์”
 นอกจากนี้ ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงอาการสมองเสื่อมที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน จิตแพทย์แนะนำ 9 ข้อสำคัญ ดังนี้
        1. ควรงดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะส่งผลต่อสมอง
        2. ควรระวังเรื่องการใช้ยา ไม่ควรรับประทานยาสุ่มสี่สุ่มห้า ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยาทุกครั้งและ ควรนำยา   ที่รับประทานเป็นประจำไปให้แพทย์ดูด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่งยาซ้ำซ้อน
        3. ควรระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบกระเทือนศีรษะ
        4. สำหรับผู้สูงอายุที่เดินลำบากควรมีคนดูแล เช่น เวลาเข้าห้องน้ำควรมีคนไปเป็นเพื่อน เพราะอาจเกิด    การลื่นหกล้มหัวฟาดในห้องน้ำได้
        5. เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุควรหมั่นไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และไม่ควรลืมเจาะเลือดเพื่อตรวจหาโรคเบาหวานและโรคไขมันในเลือดสูง      
        6. ตรวจเช็คความดันเลือดสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด หากพบว่าเป็นความดันโลหิตสูงก็ต้องปฏิบัติตน     ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะมีผลกระทบต่อภาวะสมองเสื่อมได้
        7. ควรออกกำลังกายเป็นประจำ ผู้สูงอายุไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดโทษได้      
        8. ควรหากิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียด เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ หมั่นเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุ และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ตามสมควร    
        9. เมื่อสังเกตว่าตนเองเริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ มากผิดปกติ หรือมีอาการบ่งชี้อื่นๆ ที่น่าสงสัยก็ควรรีบไป   พบประสาทแพทย์ หรือแพทย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุทันที
จะเห็นว่า เรื่องราวของโรคอัลไซเมอร์ รวมถึงการดูแล การรักษา การป้องกันนั้นซับซ้อน และยากต่อความเข้าใจทีเดียว ซึ่งทางที่ดีที่สุด ก็คือ การหาโอกาสปรึกษาจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง.

คนคิดนอกกรอบเป็นอย่างไร



ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางฐิตาภา  แจ่มศรี
ตำแหน่ง :  เจ้าพนักงานการคลังชำนาญงาน
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางสาวนภาวรรณ  ศานติ์สุทธิกุล
ตำแหน่ง: นักวิชาการคลังชำนาญการ
ความรู้เกี่ยวกับ  :    คนคิดนอกกรอบเป็นอย่างไร
หน่วยงาน  ส่วนบริหารการจ่ายเงิน ๔  สำนักบริหารการับ-จ่ายเงินภาครัฐ
การทำงานของสมอง
การทำงานของสมองเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ทั้งการกระทำของร่างกายทางประสาทสัมผัสทางการรับรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งทางการมองเห็น การได้ยิน การรับความรู้สึกทางผิวหนัง การเรียนรู้ทางด้านภาษาหรือการพูด ความจำ รวมทั้งการคิด
การคิด
การคิดเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการมากับมนุษย์  เมื่อมนุษย์ได้พัฒนาทั้งทางด้านร่างกายและสมองตามการวิวัฒนาการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  การคิดจึงเป็นเครื่องมือพิจารณาตัดสินในเหตุการณ์ต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตมนุษย์
โดยการคิด  คือ การรวบรวมและเชื่อมโยงเอาประสบการณ์การเรียนรู้สิ่งรอบตัวมาวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดผลทางความคิดในเรื่องนั้น ๆ เพื่อนำไปปรับใช้ในการดำรงชีวิตของมนุษย์

กระบวนการคิดเป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ การคิดเปรียบเสมือนช่องทางแห่งการเอาชนะปัญหาในการดำรงชีวิตในทุกสถานการณ์ ซึ่งมีกระบวนการคิดได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับปัญหาและองค์ประกอบชี้วัดต่าง ๆ ในการคิด จึงควรเลือกกระบวนการคิดที่เหมาะสมในการคิดเพื่อแก้ไขปัญหาหรือสร้างนวัตกรรมขึ้นมา


การคิดนอกกรอบ
การคิดนอกกรอบ หมายถึง การคิดอย่างแตกต่าง อย่างไม่เป็นไปตามแบบแผน หรือการคิดเพื่อสร้างมุมมองใหม่
ทำไมต้องคิดนอกกรอบ
ในสังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรมและเทคโนโลยี มีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นเสมอ จึงทำให้สังคมและหน่วยต่าง ๆ ในสังคม ต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่อให้ก้าวทันอยู่เสมอ การคิดจึงเป็นกระบวนการสำคัญที่จะทำให้เกิดปัญญา เพื่อแก้ไขปัญหาและเรียนรู้กับทักษะเทคโนโลยีใหม่
ลักษณะของบุคคลที่คิดนอกกรอบ
เมื่อความคิดนอกกรอบ หมายถึง แนวความคิดใหม่อย่างสร้างสรรค์ที่แปลกแตกต่างจากความคิดเดิม เพื่อให้เกิดการพัฒนาเป็นแนวทางใหม่ ลักษณะของบุคคลที่มีความคิดนอกกรอบ หรือแนวทางปฏิบัติพัฒนาความคิดนอกกรอบ จึงแบ่งเป็น 7 ขั้น ดังนี้
1.  รักการเรียนรู้
ความรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ เพราะส่วนหนึ่งที่เกิดการพัฒนาทางความคิดในทุก ๆ ด้าน
การได้มาซึ่งความรู้นั้นสามารถได้จากประสบการณ์  โดยแบ่งเป็น 2 วิธี ดังนี้
1.1  ประสบการณ์โดยตรง
การเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง  เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองในประสบการณ์และความรู้ด้านต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเรียนรู้จากชีวิตประจำวัน เช่น การรับรู้เรื่องไฟมีความร้อน ประสบการณ์ตรง คือ เมื่อเอามือไปใกล้ไฟมาก ๆ จะร้อน และเมื่อเอามือเข้าใกล้มาก จนสัมผัสเปลวไฟจะสามารถเรียนรู้ได้ว่า นอกจากความร้อนจะมีความปวดแสบ ปวดร้อนเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงที่สามารถเรียนรู้ได้เองจากประสบการณ์
1.2  ประสบการณ์โดยอ้อม
การเรียนรู้จากประสบการณ์โดยอ้อม  เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตนเองหรือไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง แต่เกิดจากการเรียนทั้งในระบบและนอกระบบที่เกิดจากผู้สั่งสอนหรือบอกเล่า เกิดจากการรับสื่อต่าง ๆ ทั้งทางด้านการรับโดยการฟัง อ่าน และการชม ซึ่งเป็นประสบการณ์หรือความรู้ที่มีการกลั่นกรองมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่สามารถสร้างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้ได้เช่นกัน
ฝึกตนในการรับรู้เรียนรู้ทั้งประสบการณ์โดยตรงและประสบการณ์โดยอ้อม ข่าวสาร
หาข้อมูลในทุกด้านและทุกมิติให้เป็นนิสัย เพราะความรู้และข้อมูลมีมากมาย และสามารถปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ
ตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การฝึกพัฒนาตนเพื่อให้เป็นผู้รอบรู้จึงเป็นพื้นฐานสำหรับกระบวนการคิด
2.  ฝึกการสังเกต
การสังเกต เป็นการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ได้มากมาย จากการรับรู้ จากประสาทสัมผัส
ทั้งการดู การฟัง การรับรสชาติ การรับรู้กลิ่น การสัมผัสทางกายในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และเกิดการบันทึก เพื่อเป็นข้อมูล เช่น การดูนก เป็นการสังเกตนกจากการมองผ่านกล้องส่องทางไกล และจดบันทึกถึงลักษณะและอาจวาดลักษณะนก เพื่อเป็นข้อมูลความรู้ลักษณะของนกชนิดนั้นว่า มีลักษณะอย่างไร เพื่อการนำไปพัฒนาสู่ความรู้ด้านต่าง ๆ ของนกต่อไป
การสังเกตจึงเป็นสิ่งที่พัฒนาประสบการณ์ให้เกิดเป็นความรู้ การฝึกตนให้เป็นคนช่างสังเกตและจดจำ  นอกจากการศึกษาหาข้อมูลความรู้ ข้อมูลข่าวสารแล้วนั้น การฝึก การสังเกตและจดจำจึงเป็นส่วนสำคัญ เพื่อเป็นการเสริมกระบวนการด้านความรู้ เพื่อนำไปพัฒนากระบวนการคิด การสังเกตและการจดจำสามารถนำไปใช้ควบคู่กับการหาความรู้ หรือข้อมูลการสังเกตในทุก ๆ สิ่ง ฝึกจนเป็นนิสัยเพื่อสร้างลักษณะอันดีของนักคิด การจดจำในสิ่งที่เรียนรู้มาแล้ว เพื่อเป็นฐานข้อมูลทางความคิดในอนาคต
3.  มองรอบด้าน
การมองรอบด้าน คือ การมองในทุกด้านและทุกมิติ ในเรื่องราวและเหตุการณ์หรือประสบการณ์ เช่น การสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า 1 แห่ง จะต้องมีการศึกในทุก ๆ ด้าน ดังนี้
- งบประมาณในการสร้างเขื่อน ในการสร้างเขื่อนต้องใช้งบประมาณเท่าไร มีความคุ้มค่าในระยะยาวคุ้มกับการสร้างหรือไม่
- ด้านการผลิตไฟฟ้า จากกระแสน้ำที่เขื่อนกักเก็บสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่าไหม
- ด้านการกักเก็บน้ำ การกักเก็บน้ำของเขื่อนเป็นผลประโยชน์รอง แต่สามารถส่งผลกระทบได้ เพราะการสร้างเขื่อนต้องคู่กับการจัดการน้ำที่ดี เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อาศัยด้านใต้เขื่อนทั้งทางด้านการเกษตร อุปโภคและบริโภคว่า เกิดผลกระทบมากน้อยอย่างไร
- ด้านผลกระทบกับระบบนิเวศ ทั้งระบบนิเวศของป่าในบริเวณที่สร้างเขื่อน ผลกระทบต่อสัตว์ป่าในบริเวณที่สร้างเขื่อน เป็นส่วนที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
แสดงให้เห็นถึงการมองถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งทางด้านดีและไม่ดีที่จะเกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อน เป็นตัวอย่างในการมองแบบรอบด้านของกระบวนการคิดหรือปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของการคิด
การนำความรู้ที่ผ่านการสังเกตและจดจำไปใช้นั้น เป็นขั้นตอนในการเริ่มของกระบวนการคิด
แต่ในการนำข้อมูลความรู้ไปใช้หรือนำเสนอเพียงแค่ด้านเดียว หรือเพียงมิติเดียว จึงเป็นเพียงการใช้ความคิดเพียงมิติเดียว เพื่อให้ระบบความคิดรอบด้านหลายมิติ จึงควรใช้ความรู้รอบด้านมาใช้ในการคิด เพื่อให้ได้ความคิดแบบรอบด้าน ซึ่งจะได้ความคิดที่น่าเชื่อถือและเป็นเหตุเป็นผลมากที่สุด
4.  ตั้งคำถาม
การตั้งคำถาม คือ การตั้งคำถามถึงกระบวนการคิดถึงความถูกต้องหรือความเก่าไม่ร่วมสมัย หรือการคิดยังไม่ส่งประโยชน์สูงสุดต่อผลในด้านต่าง ๆ คิดทบทวนตั้งคำถามต่อความรู้หรือกระบวนการคิดไปทุก ๆ มิติ การตั้งคำถามต่อประสบการณ์การเรียนรู้ เป็นการช่วยขยายความรู้เพื่อพัฒนาความคิดเดิม ให้เกิดการก้าวหน้าทางความคิดเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ให้ส่งเสริมหรือหักล้าง เพื่อให้เกิดข้อเท็จจริงมากที่สุดทางความคิดและเกิดสมดุลทางความรู้
5.  ขบถกับความคิดเดิม
เมื่อการหาความรู้และเริ่มคิดรอบด้านแล้ว จึงเกิดปัญหาในการคิดแบบนอกกรอบ คือ การคิดจะเป็นแบบเดิมตามความรู้หรือข้อมูลเดิม จะไม่เกิดความคิดใหม่ ๆ ได้ เพื่อให้เกิดกระบวนการคิดแบบใหม่ โดยไม่ซ้ำแบบเดิม จึงควรละทิ้งกระบวนการคิดแบบเดิม  โดยทดลองการคิดแบบใหม่ โดยไม่ยึดติดกับกระบวนการคิดแบบเก่า ๆ
เมื่อละทิ้งกรอบความคิดเก่า และเปลี่ยนแนวทางความคิดใหม่ ต้องมีความกล้าที่จะเปลี่ยนความคิดไปสู่สิ่งใหม่แนวทางใหม่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาในรูปแบบใหม่ ๆ เพราะความรู้และความคิดไม่สามารถอยู่ที่เดิมได้ ต้องพัฒนาอยู่เสมอ ต้องเปลี่ยนแปลงให้ก้าวหน้าไปก่อนการเปลี่ยนแปลงโลกอยู่เสมอ
6.  ฝึกความสัมพันธ์ทางความคิด
ฝึกความสัมพันธ์ทางความคิดผ่านฟัง คิด ถาม เขียน การฝึกตนให้เป็นนักคิดที่ดี ต้องฝึกทักษะทั้งสี่ด้าน เพื่อสร้างความสัมพันธ์กันทางความคิด เริ่มจาก
ฟัง  ฟังผู้รู้ ความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ เพื่อเป็นข้อมูลทางความคิด
คิด   เมื่อได้ข้อมูลข่าวสารความรู้ต่าง ๆ ควรฝึกกระบวนการคิดเสมอ คิดถึงความเหมือน
ความต่างของความรู้ เพื่อพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้ผลของความคิดที่ใกล้เคียงหรือถูกต้องมากที่สุด
ถาม   เมื่อความคิดผ่านกระบวนการคิดจนตกตะกอนทางความคิด แล้วจึงนำสิ่งที่คิดมาย้อนถามถึง  สิ่งที่ถูกต้อง เหมือนหรือไม่เหมือนทางด้านความรู้จากผู้รู้ หรือแหล่งการเรียนรู้  เพื่อได้ความรู้ หรือกระบวนการคิดที่ถูกต้อง และได้ประโยชน์สูงสุด เขียน  การเขียนเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อเป็นการเน้นย้ำทางความรู้และความคิดถึงผลที่เกิดจากการตกตะกอนทางความคิด
7.  คิดแง่บวก
เมื่อเกิดทักษะทางความคิดจนถึงกระบวนการคิดในขั้นตอนสุดท้าย  จนได้ตะกอนทางความคิดหรือผลทางความคิดแล้ว การคิดแง่บวกเป็นกระบวนการคิดที่ครอบกระบวนการคิดในทุก ๆ ด้านของการคิด  เพราะเมื่อการคิดได้ผลแล้ว การนำไปใช้ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นสิ่งไม่ดีไม่เป็นผลดีกับผู้อื่น การคิดจึงเป็นสิ่งที่ควรคู่กับการคิดเชิงบวกด้วย เพื่อเป็นประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น การคิดจึงเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ เพื่อเป็นการสร้างสรรค์สังคมให้พัฒนาไปในทิศทางที่ดี
ทำอย่างไรจึงจะคิดนอกกรอบ
การที่เราจะคิดนอกกรอบได้  เราต้องมีความคิดที่จะหลุดจากกรอบความคิดเดิม ๆ เสียก่อน โดยไม่ให้มีเค้าความคิดเดิมอยู่เลย คน ๆ นั้น ต้องเป็นคนที่มองแบบรอบด้าน ไม่มองอะไรเพียงด้านเดียว จะต้องลงมือทำตามที่ตนเองมีความคิด ความเชื่อที่จะทำ และต้องเตรียมใจพร้อมที่จะรับผลจากการกระทำนั้น ๆ และต้องตรวจสอบความคิดและการกระทำได้ตลอดเวลาว่า สิ่งที่ทำนั้นเป็นความคิดนอกกรอบจริงหรือไม่
“คิดนอกกรอบ” คือ คิดไม่เหมือนเดิม มี 3 ลักษณะ คือ
1.  คิดเพิ่มจากเดิม เช่น เคยทำงานในมุมมองเดียว ก็เพิ่มมุมมองในการทำงานมากขึ้นจากเดิม อาทิ  เคยขายก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียว ก็เพิ่มขายข้าวแกงด้วย ขนมด้วย เพิ่มความหลากหลายให้ลูกค้า กิจการก็จะดีขึ้น
2.  เปลี่ยนกรอบคิด เช่น เป้าหมายการศึกษาเดิม คือ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ก็เปลี่ยนกรอบคิดและเปลี่ยนเป้าหมายเป็น เก่ง ดี มีสุข เดี๋ยวนี้เปลี่ยนกรอบคิดเป็นคุณธรรมนำความรู้
3.  เปลี่ยนมุมมอง คือ ไม่มองในมุมเดิม ๆ เช่น นิทานเรื่องเซลแมนขายรองเท้าที่ไปบนเกาะ ๆ เดียวกัน แต่คนแรกเห็น ชาวเกาะไม่สวมรองเท้า ก็โทรศัพท์กลับไปบอกเจ้านายว่า คงขายรองเท้าไม่ได้ แล้วก็จากไป แต่เซลแมนคนที่สองที่มองเห็นอย่างเดียวกัน โทรศัพท์กลับไปบอกเจ้านายว่า  เราจะรวยกันใหญ่แล้ว เพราะชาวเกาะไม่มีใครสวมรองเท้าเลย เราต้องขายรองเท้าดีแน่ ๆ
จากข้อเสนอแนะการคิดนอกกรอบทั้ง 3 ข้อ เป็นการเสนอมุมมองของการคิดที่คน ๆ หนึ่ง มีความต้องการ
ที่จะทำในสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม เป็นการต่อยอดความคิดด้วยความเชื่อมั่น ไม่ลังเลที่จะลงมือทำให้เห็นผลว่า สิ่งที่คิดนั้น สามารถเป็นความจริงได้หรือไม่
ผลดีในการคิดนอกกรอบ
-  สร้างบุคลากรในอนาคต ซึ่งเป็นกำลังของประเทศให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสังคม ในการพัฒนาสังคมให้เกิดสังคมในการคิดในสิ่งใหม่ ๆ และยั่งยืน
-  ได้นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดจากกระบวนการคิดนอกกรอบ
-  สร้างสังคมแห่งความแตกต่างทางความคิด ให้เกิดการเรียนรู้อยู่ร่วมกัน ระหว่างความแตกต่างทางด้านความคิดของการคิดรูปแบบเก่า และการคิดรูปแบบใหม่ให้อยู่ร่วมกันอย่างสมดุล

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

พลวัตทางการเงินวันนี้ CGD e-Payment

ผู้แบ่งปัน 
ว่าที่ ร.อ. ภวัต ปั้นบำรุงกิตน์
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังชำนาญการ