วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การเลือกซื้อกล้องถ่ายรูป

 
 

ความรู้เกี่ยวกับ : การเลือกซื้อกล้องถ่ายรูป
โดย : นางสาวอุทุมพร แก้วมาลา
หน่วยงาน กลุ่มงานกฎหมายละระเบียบด้านการเบิกจ่าย
คุณกิติรดา  (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)นายธราธิป หนูเจริญ
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
 
การเลือกซื้อกล้องถ่ายรูป
การที่เราจะเลือกซื้อกล้องมาใช้งานนั้น เราควรที่จะพิจารณาจากองค์ประกอบหลายๆด้าน เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่ได้จ่ายไป สำหรับองค์ประกอบที่เรานำมาพิจารณานั้น ได้แก่ ประเภทของกล้องกับการใช้งาน งบประมาณขนาดและคุณภาพของไฟล์ภาพซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ 5 ประเภท ดังนี้
1. กล้องฟิล์มประเภท SLR กล้องประเภทนี้เหมาะสำหรับใช้เรียนถ่ายภาพ การเรียนรู้เกี่ยวกับกล้อง
ในเบื้องต้นมากกว่าที่จะนำมาใช้งานประจำวันเนื่องจาก เวลาถ่ายภาพด้วยกล้องประเภทนี้จะไม่สามารถตรวจสอบภาพที่เราถ่ายได้จนกว่าจะทำการล้างฟิล์มออกมาดู ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาดเป็นอย่างมาก
กล้องฟิล์มประเภท SLR นี้จะใช้ฟิล์มเก็บข้อมูลเวลาถ่ายภาพ และเวลาที่จะนำภาพออกมาดูนั้นต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การล้างฟิล์ม ในอดีตกล้องประเภทนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นกล้องต้นแบบของกล้องดิจิตอล
ในปัจจุบัน เนื่องจากมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้ไม่ค่อยจะนิยมนำมาใช้งาน สำหรับคุณภาพของไฟล์ภาพที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับกระบวนการถ่ายภาพ และการล้างภาพ มีข้อจำกัดในเรื่องศูนย์หรือร้านค้าที่ให้บริการ อุปกรณ์เสริม อะไหล่ หายาก ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายรูปมาโดยตรง กล้องประเภทนี้จะมีต้นทุนค่อนข้างสูงเนื่องจากต้องใช้ฟิล์มในการบันทึกข้อมูล
2. กล้อง DSLR กล้องประเภทนี้จะเห็นกันบ่อยมากๆ ในงานต่างๆ เช่น งานรับปริญญา งานแต่งงาน งานบวช เพราะเป็นกล้องที่สามารถตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดี กล้องประเภทนี้เป็นกล้องที่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ลักษณะการทำงานจะคล้ายกับกล้องฟิล์มแต่จะเปลี่ยนวิธีการบันทึกภาพลงบนฟิล์มเป็นบันทึกภาพเป็นระบบดิจิตอลแทนทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะพอสมควรเมื่อเทียบกับกล้องที่ใช้ฟิล์ม ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือกล้องตัวคูณ และกล้อง DSLR ประเภท Full Frame ซึ่งกล้อง Full Frame จะมีขนาดเซนเซอร์ใหญ่กว่ากล้องตัวคูณ ทำให้คุณภาพของไฟล์ภาพที่ได้จะดีกว่ากล้องตัวคูณนั่นเอง ในส่วนของศูนย์หรือร้านค้าที่ให้บริการนั้นจะมีอยู่ทั่วไป กล้องประเภทนี้จะมีอุปกรณ์เสริมเยอะมากๆ ได้แก่ เลนส์ แฟลช และฟิลเตอร์ เป็นต้น ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างหลากหลาย ราคาของกล้อง และอุปกรณ์เสริมประเภทนี้จะมีตั้งแต่หลักหมื่น จนถึงหลักแสนบาทขึ้นอยู่กับความต้องการ และการใช้งาน
3. กล้อง DSLR-LIKE กล้องประเภทนี้รูปทรงภายนอก และโหมดการถ่ายภาพจะมีลักษณะคล้ายๆ
แต่ไม่เต็มระบบเหมือนกับกล้อง DSLR ซึ่งมีส่วนประกอบบางอย่างที่แตกต่างออกไปเช่น ไม่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ขนาดของ Sensor จะเล็กกว่ากล้อง DSLR เหมาะสำหรับผู้หัดถ่ายภาพ แต่คุณภาพที่ได้จะด้อยกว่า กล้อง DSLR เล็กน้อย ในส่วนของศูนย์หรือร้านค้าที่ให้บริการนั้นจะมีอยู่ทั่วไปเหมือนกับกล้อง DSLR กล้องประเภทนี้จะมีอุปกรณ์เสริมพอประมาณและราคาของกล้องประเภทนี้ประมาณหมื่นกว่าบาท ซึ่งจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อของกล้อง
4. กล้องดิจิตอลคอมแพค กล้องประเภทนี้จะพบเห็นกันทั่วไป มีขนาดเล็กกะทัดรัด สะดวกต่อการพกพา ใช้งานง่าย ระบบของกล้องมีลักษณะการใช้งานคล้ายๆกับกล้อง DSLR-LIKE ที่เน้นระบบออโต้สำเร็จรูปเป็นส่วนใหญ่ แต่ข้อเสียของกล้องประเภทนี้คือคุณภาพของไฟล์ภาพที่ได้จะไม่ค่อยดี สามารถนำไปใช้งานต่อไม่ค่อยได้ แต่จะมีเพียงบางรุ่นเท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ทำให้คุณภาพออกมาดี แต่ราคาก็ค่อนข้างสูงตามไปด้วย ราคาของกล้องประเภทนี้จะอยู่ที่หลักพัน ถึงหลักหมื่นกันเลยทีเดียว ในส่วนของศูนย์หรือร้านค้าที่ให้บริการนั้นจะมีอยู่ทั่วไปเหมือนกับกล้อง DSLR และกล้อง DSLR-LIKE
5. กล้องประเภท Mirrorless กล้องประเภทนี้ ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย เป็นกล้องที่รวมจุดเด่นของกล้องแต่ละประเภทเข้ามาไว้ด้วยกัน กล่าวคือ ตัวบอดี้ของกล้องมีลักษณะคล้ายๆกับกล้องดิจิตอลคอมแพค แต่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้เหมือนกล้อง DSLR ซึ่งทำให้เป็นที่น่าสนใจของหลายๆคน ลักษณะการใช้งานทั่วไปนั้นจะไม่ซับซ้อน ใช้งานง่าย มีระบบฟังก์ชันคล้ายกับกล้อง DSLR เป็นอย่างมากแต่มีความเล็กกะทัดรัด สะดวกต่อการพกพา คุณภาพของไฟล์ภาพที่ได้จะพอๆกับกล้อง DSLR แต่ราคาของกล้องประเภทนี้จะใกล้เคียงกับกล้อง DSLR ในส่วนของศูนย์หรือร้านค้าที่ให้บริการนั้นจะมีอยู่ทั่วไปเหมือนกับกล้อง DSLR ในปัจจุบันกล้องประเภทนี้จะมีอุปกรณ์เสริมไม่เยอะเท่าไหร่ เนื่องจากเริ่มออกจำหน่ายมาได้ไม่นาน

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ท่าบริหารสไตล์โยคะเมื่อต้องนั่งทำงานตลอดเวลา




ความรู้เกี่ยวกับ : ท่าบริหารสไตล์โยคะเมื่อต้องนั่งทำงานตลอดเวลา
นางสาววิบูรณ์รัตน์ เรืองคำ นิติกร
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางสาวสระภี ทองนาค
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
ท่าบริหารสไตล์โยคะเมื่อต้องนั่งทำงานตลอดเวลา
ปัจจุบันข้าราชการไทยส่วนใหญ่ก็มักจะทำงานอยู่แต่โต๊ะทำงานและเก้าอี้เป็นประจำทำให้ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากนักในแต่ละวัน และถึงเวลาเลิกงานก็มักจะกินและพักผ่อนตามอัธยาศัยแล้วก็ตื่นขึ้นใช้ชีวิตประจำในการทำงานเดิมในวันและเวลาราชการ ซึ่งจะเป็นอย่างนี้ทุกวัน ทำให้เกิดโรค เกิดสภาพร่างกายที่ไม่แข็งเมื่ออายุที่มากขึ้น บทความนี้จะพูดถึงเรื่อง การบริหารร่างกายที่จะทำให้คืนความสมดุลให้กับร่างกายของท่าน
โยคะเก้าอี้เป็นการประยุกต์ท่าโยคะ ก้ม แอ่น บิด เอียง มาใช้กับเก้าอี้ เป็นโยคะในสำนักงานที่เหมาะสำหรับคนที่ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หรือนั่งทำงานเป็นเวลานานแล้วเกิดอาการเมื่อย กดทับ เพื่อให้ท่าโยคะเหล่านี้ช่วยปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ให้บริหารยืดเหยียด จนคืนความสมดุลให้กับร่างกาย โดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย และเพื่อให้ผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ได้ดูแลร่างกายและจิตใจตนเอง เพื่อป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากความเหนื่อยล้าและเครียด เมื่อต้องทำงานอยู่ในท่าเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานานโดยท่าโยคะสำหรับผู้ทำงานในสำนักงาน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มท่าที่บริหารคอ ไหล่ สะบัก ทรวงอก แขน 2.กลุ่มท่า บริหารนิ้วมือ ข้อมือ แขน 3.กลุ่มท่าที่บริหาร หลัง ลำตัว กระดูกสันหลัง 4.กลุ่มท่าบริหาร สะโพก ขา เข่า และ 5.กลุ่มท่าที่บริหาร ดวงตา ซึ่งโยคะทั้ง 5 กลุ่มนี้ หากทำครบสามารถบริหารเหยียดยืดร่างกายได้ครบทุกส่วน โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือผู้ใช้อาจเลือกบางท่าไปทำในขณะที่นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็ได้ โดยตลอดระยะเวลาทำงานให้หยุดพักทุกๆ 1-2 ชั่วโมง แล้วเลือกทำท่าบริหารเหล่านี้สัก 2-3 นาที ตามแต่ละท่าที่เลือกใช้
1. กลุ่มท่าบริหารคอ ไหล่ สะบัก ทรวงอก แขน
1.ยืดด้านข้างลำคอ นั่งลำตัวตรง หายใจเข้า แหงนศีรษะไปทางขวาจนลำคอด้านซ้ายตึง หายใจออก คลายกลับมาตรงกลาง จากนั้นสลับข้างไปทางซ้าย ทำจนครบ 5 รอบ
2.หมุนไหล่ วางมือบนไหล่แต่ละข้างให้ศอกชิดกัน หายใจเข้ายกศอกขึ้นทางด้านหน้า หายใจออกลดศอกลงไปด้านหลัง หมุนครบ 5 รอบ แล้วหมุนทวนกลับ
 

2. กลุ่มท่าที่บริหารนิ้วมือ ข้อมือ แขน
1.หมุนข้อมือ ประสานนิ้วมือ แล้วหมุนมือให้เป็นก้อนวงกลมครบ 10 รอบ
2.บิดมือแล้วผลักฝ่ามือออกไปข้าง หน้าจนสุดแขน แล้วยกขึ้นเหนือศีรษะค้างไว้ 5 ลมหายใจ
3.ดึงมือลงไปทางซ้ายจนแขนและ ไหล่ขวาตึงสุด ค้างไว้ 5 ลมหายใจ
4.ปล่อยมือแล้ว เหยียดแขนซ้ายออกไปด้านข้าง หันฝ่ามือไปข้างหลัง แล้วพับแขนเอาหลังมือมาแตะที่แผ่นหลัง ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปหามือขวา ถ้ามือถึงกันก็เกี่ยวกันไว้ ค้างไว้ 5 ลมหายใจ
5.คลายแขนซ้าย เหยียดออกไปทางขวา ที่ด้านหน้าของลำตัว แล้วเอาแขนขวามาล็อกที่ต้นแขนซ้าย เอาตัวช่วยดันไว้จนไหล่ซ้ายตึง แล้วหันหน้าไปทางซ้าย ค้างไว้ 5 ลมหายใจ
6.เอาแขนซ้ายมาพันแขนขวา ประกบฝ่ามือ ยืดไหล่และสะบัก ค้างไว้ 5 ลมหายใจ (สลับอีกข้างหนึ่งโดยเริ่มจากสลับร่องนิ้ว แล้วประสานมือหมุนทวนกลับ)
 

3. กลุ่มท่าที่บริหารหลัง ลำตัว กระดูกสันหลัง
1.นั่งก้มและแอ่นตัว หายใจออกพร้อมหดหน้าท้อง โก่งหลัง เหยียดแขน เก็บคางชิดคอ
2.หายใจเข้าพร้อมกับดึงมือกลับมา งอศอกไปด้านหลังและอกยืดคาง ทำ 5 รอบ
3.นั่งยกขาขึ้นมาข้างหนึ่ง โดยวางข้อเท้าไว้เหนือเข่าอีกข้างหนึ่ง จากนั้นประสานมือด้านหลัง แล้วหายใจออก ก้มตัวลงพร้อมยกแขนขึ้นด้านบน ค้าง 5 ลมหายใจ แล้วสลับข้าง
4.จากท่านั่งหลังตรง ให้เอนหลังแล้ววางทั้งสองมือที่เก้าอี้ด้านหลังข้างๆ สะโพกพร้อมเหยียดขาข้างหนึ่งออกมา โดยที่เท้าทั้งสองข้างวางอย่างมั่นคงบนพื้น หายใจเข้าพร้อมกดมือบนเก้าอี้ ยกสะโพกขึ้น แอ่นอกค้างไว้ 5 ลมหายใจ
5.นั่งบิด เริ่มจากท่านั่งหลังตรงให้หายใจเข้า ยืดตัวขึ้น เมื่อเริ่มหายใจออกให้บิดตัวไปทางขวา มือขวาจับพนักพิง ส่วนมือซ้ายจับที่เข่าแล้วออกแรงบิด ค้างไว้ 5 ลมหายใจ
6.ทำซ้ำข้างเดิม แต่เพิ่มการยกขาขวาขึ้นมา แล้วเหยียดให้ตรงก่อนบิด ค้างไว้ 5 ลมหายใจ แล้วสลับข้าง
7.ตะแคงข้าง นั่งแยกขากว้างเล็กน้อย วางแขนซ้ายเท้าไว้ที่ขาซ้าย จากนั้นหายใจเข้าวาดแขนขวาขึ้นไป ยืดจนสุด รู้สึกตึงที่สีข้าง พร้อมแหงนมองที่ฝ่ามือ ค้างไว้ 5 ลมหายใจ สลับข้าง
8.บริหารหน้าท้องและต้นขา ค้างท่าละ 5 ลมหายใจ นั่งเอนหลังเล็กน้อย ยกเท้าลอยขึ้นเอามือไว้ที่ท้อง ท่าที่สอง ยกขาขวาขนานพื้น สลับข้าง และท่าสุดท้ายยกสองขา
 

4. กลุ่มท่าบริหารสะโพก ขา เข่า
1.ยืนเอามือจับพนักเก้าอี้ ถอยเท้าไปเพื่อก้มตัวลงจนลำตัวขนานกับพื้น แล้วกระดกปลายเท้าขึ้นมาจนน่องตึง ค้างไว้ 5 ลมหายใจ
2.ย่อเขย่งโดยยืดหลังให้ตรงไว้ ค้างไว้ 5 ลมหายใจ ทำซ้ำอีกรอบ
3.ก้าวเท้าขวาออกมาข้างหน้า มือยังจับพนักพิงเป็นท่าเตรียม หายใจเข้า ย่อเข่าขวา ส่วนขาซ้ายตึง พร้อมกับยกแขนซ้ายขึ้น ตามองปลายมือ ค้างไว้ 5 ลมหายใจ
4.กลับสู่ท่าเตรียม แล้วย่อเข่าเหมือนท่าแรก หายใจออกพร้อมกับวาดแขนขวาบิดตัวไปด้านหลัง แล้วค้างไว้ 5 ลมหายใจ
5.กลับสู่ท่าเตรียม ขยับตัวออกไปทางซ้าย เปิดปลายเท้าซ้ายออก หายใจเข้าพร้อมวาดแขนซ้ายขึ้น ตามองที่ปลายมือ แขนขวาเท้าที่พนักพิง ค้างไว้ 5 ลมหายใจ จากนั้นสลับข้าง
6.บริหารช่วงท้อง นั่งในท่าเตรียม กำหมัดหลวมๆ วางไว้ที่ท้องน้อย หายใจเข้ายืดตัว หายใจออกก้มตัวลง ค้างไว้ 5-10 ลมหายใจ
 

5. กลุ่มท่าที่บริหารดวงตา
1.บริหารดวงตา ทำช้าๆ อย่าง ละ 2 รอบ กลอกตาขึ้น-ลง กลอกตาซ้าย-ขวา กลอกตาทแยง และกลอกตาเป็นวงกลม
2.หายใจแบบ โยคี อนุโลม วิโลม นั่งหลังตรง ใช้มือขวาพับนิ้วชี้กับนิ้วกลางลง นำนิ้วโป้งมาปิดจมูกขวา หายใจเข้าจมูกซ้าย ทรวงอกขยาย นำนิ้วนางคู่กับนิ้วก้อยปิดจมูกซ้าย เปิดข้างขวา หายใจออก ทรวงอกยุบลง หายใจเข้าขวาโดยนิ้วอยู่เหมือนเดิม ทรวงอกขยาย ปิดขวาออกซ้าย ทั้งหมด 1 รอบ ทำ 5-10 รอบ
3.ผ่อนคลายดวงตา ถูฝ่ามือเร็วๆ จนเกิดความร้อน หลับตาแล้วเอาฝ่ามือมาประคบดวงตา ปล่อยให้ความร้อนซึมผ่านหนังตา ความร้อนหมดทำซ้ำ
4.ผ่อนคลายนั่งพิงพนัก วางมือไว้ที่หน้าตัก รู้สึกร่างกายไปกับลมหายใจ หายใจเข้า รับรู้ความรู้สึกจากปลายเท้า ปลายมือขึ้นมาจนถึงศีรษะ หายใจออก รับรู้ความรู้สึกกลับลงไป ทำ 10 รอบ
สุดท้ายนี้ แม้จะทำโยคะในท่านั่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะแข็งแรงขึ้นเพียงแต่ทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายมากขึ้นและมีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้น ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ในแต่ละวันและหมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 45-60 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์ และพยายามเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอจะดีที่สุด
 

6.แหล่งอ้างอิง
1. http://www.thaihealth.or.th
2. หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เกร็ดความรู้เรื่องกินผลไม้อย่างไรให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

ความรู้เกี่ยวกับ : เกร็ดความรู้เรื่องกินผลไม้อย่างไรให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
โดย : นางไพลิน   เดชศร  นักวิชาการคลังชำนาญการ
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางกนกพร  มีสุข
ตำแหน่ง นักวิชาการคลังชำนาญการ
   
กินผลไม้อย่างไร ให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
 “โดยปกติคนส่วนใหญ่มักคิดว่า การทานผลไม้ ต้องทานหลังทานข้าว” ซึ่งความจริงแล้ว เราควรรับประทานผลไม้ก่อนอาหาร เพราะผลไม้บางชนิดอาจทำให้การทำงานของกระเพาะไม่ดี ทำให้อาหารค้างในลำไส้นานกว่าปกติ แถมวิตามินที่ควรจะได้นั้น บางทีก็ไม่ได้รับการดูดซึม  จึงควรทานผลไม้ก่อนอาหาร เพื่อวิตามินจะได้ดูดซึม
ทั้งนี้ การทานผลไม้หลังอาหาร จะทำให้ท้องอืด ยกเว้นมะละกอกับสับปะรดให้กินหลังอาหารได้เพราะมีกรดช่วยย่อย โดยปกติผลไม้ย่อยได้เร็วกว่าข้าว ชิ้นผลไม้จะถูกย่อยอย่างรวดเร็ว และพร้อมที่จะผ่านกระเพาะไปสู่ลำไส้ แต่หากกินหลังข้าวเส้นทางมันถูกขวางไว้โดยข้าวซึ่งใช้เวลาย่อยนานกว่า เป็นเวลาที่อาหารทั้งหมดผ่านกระบวนการหมักและเปลี่ยนสภาพเป็นกรด จากนั้นเมื่อผลไม้สัมผัสกับอาหารในกระเพาะและน้ำย่อย อาหารทั้งหมดก็จะเริ่มบูดเสีย ดังนั้น  จะเป็นการดีกว่าถ้าเรากินผลไม้ในขณะท้องว่าง หรือก่อนมื้ออาหารและที่สำคัญหลังรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำทันที  การจะดื่มแก้อาหารติดคอเล็กน้อยได้ควรเว้นระยะห่าง 15 นาที เพื่อให้น้ำย่อยทำงานในการย่อยอาหาร”
ส่วนใหญ่แล้วน้ำดื่มคนเราจะเลือกดื่มหลังอาหารทันทีมากกว่าเมื่อกินข้าวอิ่มทุกมื้อเลย คุณหมอจะแนะนำให้เวลาประมาณ 15 นาทีค่อยดื่มน้ำตามทีหลัง จะได้ไม่มีอะไรบูดค้างอยู่ในกระเพาะของเรา
ผลไม้ เป็นสิ่งจำเป็นที่คนเราควรรับประทาน เพราะในผลไม้มีกากใยอาหารและวิตามิน เกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย อีกทั้งน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี
     การกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็ก และดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่
เหตุผลที่ห้ามกินผลไม้หลังอาหาร
เมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่ จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้  ทั้งนี้  คุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไรก็แสดงว่าร่างกายปรับตัวได้ดี แต่ท่านอาจไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้
คำแนะนำการกินผลไม้
          - หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง
          - หากเพิ่งกินอาหารหนักอย่าง เช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง
          - หากกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย
           ดังนั้น  เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน   ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่  รวมทั้งได้กากใยช่วยขับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ

ใครอยากผอม ,หุ่นดี , สุขภาพดี อย่างถูกวิธี (ทฤษฏี (ไม่) ใหม่..ยิ่งกินเยอะ น้ำหนักยิ่งลด!!!!!).


ความรู้เกี่ยวกับ : ใครอยากผอม ,หุ่นดี , สุขภาพดี อย่างถูกวิธี (ทฤษฏี (ไม่) ใหม่..ยิ่งกินเยอะ น้ำหนักยิ่งลด!!!!!).
โดย : นางสาวอมรัตน์  ราชการดี  นักวิชาการคลังชำนาญการ
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นายกฤษฎา  ว่องวิญญู
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ



คุณเคยแปลกใจไหม? ว่ายิ่งไดเอทเท่าไหร่ก็ไม่เคยผอมได้ในระยะยาว หรือแม้น้ำหนักลดแล้วก็กลับมา  อ้วนอีก บางทีเราอาจลดน้ำหนักผิดวิธี หรือรู้เรื่องโภชนาการที่ผิดๆ อยู่ก็ได้ ดังนั้นเรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากค่ะ
1. อย่าอดอาหาร ทานอาหารได้ทุกชนิด ทานให้ครบทุกมื้อ เน้นโปรตีน เพราะโปรตีนมีสารที่เรียกว่ากลูคาร์กอน ซึ่งทำหน้าที่ทำให้น้ำตาลในเลือดขับออกมาใช้เป็นกลูโคส และทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับอินซูลินที่เอาน้ำตาลในเลือดมาเป็นไขมัน ในการทานโปรตีนจะทำให้เราสามารถขับของเก่าออกไปได้ด้วย แต่ถ้าเน้นคาร์โบไฮเดรตก็จะมีแต่ไขมันส่วนเกิน
2. อย่าเน้นทานแต่ผักและผลไม้ ที่จริงการเน้นทานแต่ผักผลไม้ที่มีเกลือแร่สูง ซึ่งที่จริงก็สามารถ ช่วยให้น้ำหนักลดได้ แต่น้ำหนักที่หายไปนั้นทำให้ร่างกายหลวม หน้าตอบ ตัวย้วย ไม่สดชื่น เพราะไม่มีโปรตีนไปเสริมสร้างให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
3. มื้อเช้าอย่าทานแต่ขนมปังกับน้ำผลไม้เท่านั้น จะยิ่งทำให้อ้วนกว่าเดิม เพราะกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ใช้เวลาย่อยแค่ 40 นาที ให้อยู่ในรูปของกลูโคส ซึ่งกลูโคสจะเข้าสู่เซลล์เพื่อเผาผลาญพลังงานเองไม่ได้ จึงต้องใช้อินซูลีนจากตับอ่อนพากลูโคสเข้าสู่กล้ามเนื้อเพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน ยิ่งถ้าเราไม่ได้ออกกำลังกายกลูโคสก็จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันและสะสมอยู่ในร่างกาย เมื่อคาร์โบไฮเดรตย่อยเร็ว ร่างกายก็จะอยากทานอาหารเร็วมากขึ้น แต่ถ้าเราทานโปรตีนควบคู่ด้วยในตอนเช้าร่างกายจะค่อยๆ ย่อยโดยใช้เวลาย่อยประมาณ 3 ชั่วโมง ก็จะทำให้กลูโคสไม่สูงจนเกินไป ถ้าใครจะทางขนมปังกับนมก็ควรเพิ่มไข่เข้าไปด้วย ซึ่งการทานไข่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ในไข่มีคอเลสเตอรอล HDL ซึ่งดีต่อร่างการที่ได้จากการออกกำลังกายและแหล่งอาหาร สามารถทานได้วันละ 1-2 ฟอง ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจทานได้วันละ 1 ฟอง
4. การทานส้มตำเพื่อเป็นการลดความอ้วนนั้น กลายเป็นอาหารที่ทำให้ช่วงต้นขาใหญ่ เพราะความเค็มในส้มตำหรืออาหารเค็มจะมีโซเดียม ซึ่งจะอุ้มน้ำแล้วเข้าไปสู่ตับ แล้วจะถูกเก็บไปไว้ที่ช่วงล่างทำให้เกิดการบวม ดังนั้น ควรเลือกทานอาหารที่ไม่เค็มมาก
5. สำหรับมื้อเที่ยงถ้าทานก๋วยเตี๋ยวให้ใส่ผัก กับ เนื้อเยอะๆ แต่เส้นน้อยๆ ส่วนใครที่ชอบทานขนมจีนแกงเขียวหวาน กะทิจะทำให้เกิดการเผาผลาญเพิ่มขึ้นและอยู่ท้อง ทำให้อิ่มนาน และขอให้ใส่ขนมจีนน้อยๆ
6. สำหรับมื้อเย็น ขอให้ทานปกติ แต่ถ้าใครอยากให้หน้าท้องยุบควรทานโปรตีนเยอะๆ เพราะ ร่างการซ่อมแซมกล้ามเนื้อในช่วงเวลานอนถึง 70% เมื่อฮอร์โมนการเจริญเติบโตหลั่ง ก็จะนำพลังงานเก่าออกมาใช้ขณะซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ยิ่งนอนมากร่างกายจะผอมลงมาก เพราะฮอร์โมนจะมากตาม แต่หากทานผักก่อนนอน ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้ยาก
ดังนั้น ร่างกายของคนเราต้องการโปรตีนอยู่ตลอดเวลา และเราต้องใช้สมองอยู่เสมอ เซลล์สมองต้องใช้โปรตีน ทั้งน้ำย่อยต่างๆ อย่างกลูคาร์กอนก็ต้องการโปรตีน อีกทั้ง ภูมิคุ้มกันของร่างกายก็ทำจากโปรตีน ทุกอย่างสร้างอยู่ตลอดเวลา โปรตีนเมื่อย่อยแล้วร่างกายยังไม่ได้นำมาใช้เป็นพลังงาน แต่จะถูกเก็บไว้เป็นพลังงานสำรอง เมื่อคาร์โบไฮเดรตถูกย่อยแล้วร่างกายจะนำมาใช้ และใครที่กำลังคิดลดความอ้วนด้วยการงดอาหารบางหมู่        จึงถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายโดยตรง แต่การเลือกผอมด้วยการลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลง จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ที่ใช้ได้ผล ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่า กล้าพอที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนคติในการลดความอ้วนได้หรือเปล่า
 


ที่มาของบทความ เภสัชกรหญิง นันทวดี พิทยาพิบูลพงศ์ จาก บอดี้ ลิฟท์ อัฟ