วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

ความรู้เกี่ยวกับ  : กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน     
โดย : นางสาวกชพร  รักอยู่         
หน่วยงาน : กลุ่มตรวจสอบภายใน
กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน
ในการเลือกผักมาปรุงอาหารนั้น ผักชนิดไหนควรทานดิบๆ หรือผักชนิดไหนควรทำให้สุกเสียก่อน เพื่อให้ผักนั้นยังคงคุณค่าทางอาหารไว้ ซึ่งผักแต่ละชนิดนั้นมีกระบวนการรักษาคุณค่าทางอาหารแตกต่างกัน บางชนิดปรุงสุกจะดีกว่า ซึ่งบางชนิดทานดิบๆ จะดีกว่า มีผักชนิดใดบ้างปรุงแบบไหนจะดีกว่ากันเราไปดูกัน
หน่อไม้ฝรั่ง  ควรทานแบบปรุงสุก
ในหน่อไม้ฝรั่งมีโฟเลตอยู่มาก ซึ่งมีความจำเป็นต่อความสมบูรณ์ของทารกสำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่ปอดได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของกำมะถันเป็นยาขับปัสสาวะได้ดีตัวหนึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยที่เป็นโรคขัดเบา และยังใช้รักษาโรคหลายชนิด เช่น โรคเส้นประสาทอักเสบ โรครูมาติซึม และบรรเทาอาการปวดฟันได้ด้วย หน่อไม้ฝรั่งเมื่อนึ่งสุกแล้วจะมีประสิทธิภาพในการต้านมะเร็งได้มากกว่าการทานดิบๆ
บีทรูท  ควรทานแบบดิบ
บีทรูทหัวสีแดงมีเบทานินสูง (betanin)ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง น้ำบีทรูทจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะรักษามะเร็ง นอกจากนั้นยังช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ในหัวบีทรูทยังมีโฟเลตสูง แต่การทำให้สุกจะทำให้สูญเสียกรดโฟเลตในตัวเองไปประมาณ 25% เพราะโฟเลตจะถูกทำลายได้ด้วยความร้อน ซึ่งการทานดิบจะช่วยรักษาสารอาหารส่วนนี้ไว้
บล็อกโคลี่  ควรทานแบบดิบ
แปลกแต่จริง คนไทยไม่คุ้นเคยกับการทานบล็อกโคลี่ดิบๆ นักโภชนาการแนะนำว่า ควรเลือก หน่อหรือต้นอ่อนของบร็อกโคลี่ เพราะยังมีน้ำย่อยไมโรซีเนสที่มีปริมาณที่มากกว่าบร็อกโคลี่ต้นที่โตแล้ว ดังนั้น การกินบร็อกโคลี่ควรทานทั้งหน่อและต้นอ่อนของผัก จะให้ประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าการกินอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว และการรับประทานบร็อกโคลี่เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุดนั้น จะต้องไม่ผ่านกรรมวิธีการปรุงอาหารที่มีระยะเวลานานเกินไป นอกจากนี้เจ้าเอมซายด์ ไมโรซีเนสยังช่วยให้ตับสะอาด และช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้
 ทางเลือกอีกทางหนึ่งคือการทานบล็อกโคลี่โดยการลวก หรือผัด ที่ผ่านความร้อนที่ไม่สูงและนานจนเกินไป
เห็ดต่างๆ  ควรทานแบบปรุงสุก
เห็ดส่วนใหญ่มีแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ ปราศจากคลอเลสเตอรอล มีธาตุโปแทสเซียมสูง จึงมีคุณสมบัติช่วยลดความดัน และยังมีสารซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง แถมยังอุดมด้วยวิตามินบี เฉพาะในเห็ดหอมสดจะมีวิตามินซีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เพื่อเสริมกระดูกและฟัน อย่างไรก็ตาม การทานเห็ดสดหรือเห็ดที่ปรุงโดยความร้อน ไม่ว่าจะโดยวิธีใด จะต้ม จะย่าง จะอบ ควรใช้ความร้อนไม่สูงนักและใช้เวลาไม่นาน จะให้คุณค่าของสารอาหารมากกว่าเห็ดที่ปรุงสุกหรือผ่านความร้อนเป็นเวลานาน อย่างไรก็ดีไม่ควรทานเห็ดดิบๆเนื่องจากมีสารบางอย่างจะไปยับยั้งการดูดซึมของอาหารในระบบย่อยอาหารได้
หัวหอม   ควรทานแบบดิบ
วิธีการทานหัวหอมที่ดีที่สุดคือการสไลท์แล้วทานเลย เพราะเอนไซม์ และสารอาหารต่างๆที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหัวหอมจะลดลงเมื่อผ่านความร้อน ทางออกที่ดีถ้าหากไม่คุ้นชินกับการทานแบบดิบๆ คือการผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พริกหวานและพริกต่างๆ  ควรทานแบบดิบ
เช่นเดียวกับ หัวหอม และกระเทียม พริกหวานควรทานแบบดิบๆมากกว่า เพื่อรักษาคุณค่าทางอาหารและวิตามินต่างๆที่มีประโยชน์ไว้ เพราะส่วนมากพืชและสมุนไพรกลุ่มนี้จะสูญเสียคุณค่าทางอาหารบางส่วนไปในขณะการปรุงด้วยความร้อน ถ้าหากการทานแบบดิบๆ ไม่ถูกปากการย่างหรือการผัดแบบเร็วๆ ก็เป็นทางออกที่ดีที่ยังให้คุณค่าทางอาหารและยังรักษาประโยชน์ไว้ได้
ผักโขม  ควรทานแบบปรุงสุก
การปรุงผักโขมให้สุก จะช่วยเพิ่ม แคลเซียม ธาตุเหล็ก และแมกนิเซียมได้ เพราะการกินผักโขมให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ควรกินแบบปรุงสุก มากกว่าการดิบๆ เนื่องจากในผักโขมมีกรดชนิดหนึ่ง ชื่อ ออกเซลิค แอซิด ในปริมาณสูง กรดดังกล่าวจะส่งผลให้ร่างกายของเราไม่สามารถดูดซับธาตุเหล็กที่มีมากในผักโขมได้ การนำผักโขมไปทำให้สุกก่อนถือเป็นวิธีช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
มะเขือเทศ  ควรทานแบบปรุงสุก
เรื่องจริงที่คนส่วนใหญ่อาจจะประหลาดใจ ที่ต้องแนะนำให้ทานมะเขือเทศแบบปรุงสุกมากกว่าการทานแบบดิบๆนั้น เนื่องจากในมะเขือเทศมีไลโคปีนอยู่มาก เป็นสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ในกรณีของมะเขือเทศเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง จึงทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้การทานมะเขือเทศแบบปรุงสุกจึงทำให้สรรพคุณเรื่องการต้านมะเร็งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นนั้นเอง
  

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

เครื่องแบบ



ความรู้เกี่ยวกับ  : เครื่องแบบ
โดย :  นางสาวนพวรรณ   ศิริปัญญาพรกุล
หน่วยงาน  กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร

เสื้อผ้าที่เราสวมใส่นั้นเป็นการแสดงถึงหน้าตาทางสังคม บ่งบอกถึงบุคลิกส่วนบุคคล วัฒนธรรม ซึ่งทั้งหมด จะบ่งชี้ได้ถึงสถานภาพทางสังคม อาชีพหน้าที่การงาน ชาติพันธุ์ ศาสนา สถานะทางการเงิน รสนิยมทางเพศ ฯลฯ เครื่องแต่งกายไม่ได้ทำหน้าที่ในบริบทของแฟชั่นเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเครื่องแบบ (Uniform) เป็นเสื้อผ้าที่ถูกทำขึ้นให้มีรูปแบบมาตรฐานเพื่อให้สมาชิกในองค์กรใช้สวมใส่ระหว่างการเข้าปฏิบัติงานหรือกิจกรรมในองค์กร ซึ่งทุกคนต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและเป็นมาตรฐานเดียวกัน
  เครื่องแบบสมัยใหม่ที่สวมใส่ในปัจจุบันแบ่งไปตามหน้าที่การงานและอาชีพต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงตัวตนและพื้นที่ของพวกเขาที่แตกต่างกันไปในสังคมนั้นๆ และจากการที่สำนักนายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือร่วมใจจากข้าราชการในการสวมเครื่องแบบข้าราชการในทุกวันจันทร์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557 โดยขอให้ทุกส่วนราชการร่วมกันรณรงค์ให้มีความพร้อมเพรียงกัน
  การแต่งเครื่องแบบในการปฏิบัติราชการมีวัตถุประสงค์ประการสำคัญ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการรับใช้แผ่นดินและความรับผิดชอบที่มีต่อประเทศชาติและประชาชน
ระเบียบการแต่งเครื่องแบบ
การแต่งเครื่องแบบของข้าราชการต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478

เครื่องแบบพนักงานราชการ
เครื่องแบบของพนักงานราชการแตกต่างจากเครื่องแบบของข้าราชการเพราะพนักงานราชการไม่ใช่ข้าราชการไม่สามารถสวมเครื่องแบบข้าราชการได้ แต่อย่างไรก็ดีการให้การยอมรับและมองเห็นความสำคัญของพนักงานเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้พนักงานรับรู้ถึงคุณค่าในงานของตนเอง และทำให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจในการปฏิบัติงาน การได้รับการยกย่องชมเชยในที่ทำงานส่งผลต่อความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรและยังเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดี  ในการทำงานอีกด้วย นอกจากนี้การติดยศให้แก่พนักงานในองค์กร คล้ายกับการแต่งตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ของทหาร    แต่การให้ยศในที่นี้ไม่ได้ต้องการที่จะสร้างลำดับชั้นบังคับบัญชาให้ยืดยาว เป็นเพียงการให้ตราเครื่องหมายสัญลักษณ์ เพื่อบ่งบอกสถานภาพแก่พนักงานว่าพนักงานในตำแหน่งนี้เป็นบุคลากรที่มีความสำคัญหรือมีการทำคุณประโยชน์ให้แก่องค์กรในด้านต่างๆ เช่น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต้องมีระยะเวลารับราชการติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีบริบูรณ์ นับตั้งแต่วันเริ่มเข้ารับราชการ จนถึงวันก่อนวันพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาของปีที่จะขอพระราชทาน ไม่น้อยกว่า 60 วัน
  แม้ว่าในปัจจุบัน สังคมไทยจะมีความผูกโยงยึดติดกับอำนาจของเครื่องแบบลดน้อยลงกว่าในอดีต อย่างไรก็ดีเครื่องแบบนั้นสามารถบอกคนในสังคมให้รับรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร มีความสำคัญอย่างไรในสถานที่ที่เขาทำงานอยู่ โดยไม่เกี่ยวกับอำนาจแต่อย่างใด จะเกี่ยวกับการยืนยันการมีอยู่ของตัวตนพวกเขามากกว่า ในอดีตระบบทุนนิยมได้สร้างเครื่องแบบและรูปแบบเพื่อให้พนักงานมีความภูมิใจมากขึ้นโดยผ่านเครื่องแบบ เท่ากับพนักงานได้คิดอยู่ตลอดเวลา
ว่าตัวเองเป็นลูกจ้างของบริษัท ต้องทำเพื่อบริษัท แต่ปัจจุบันเครื่องแบบกลายเป็นเครื่องมือของนายทุนที่นำไปใช้เพื่อให้พนักงานอยู่ในภาพลวงตาว่าเจ้าของเป็นนายจ้างที่ควรให้ความเคารพและต้องตั้งใจทำการผลิตเพื่อโรงงาน
อย่างไรก็ดีเมื่อมีการเชิญชวนให้พวกเราชาวกรมบัญชีกลางสวมใส่เครื่องแบบอย่าลืมแต่งเครื่องแบบกันทุกวันจันทร์นะคะจะได้แสดงความพร้อมเพรียงกัน

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

ออกกำลังสมอง

ความรู้เกี่ยวกับ  :   ออกกำลังสมอง
โดย : นางสาวปนัสยา  เสียงก้อง
หน่วยงาน  กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า สังคมไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มขั้น เนื่องจากผู้หญิงยุคใหม่เป็นเวิร์กกิ้งวูแม้นมากขึ้น สนใจทำงานมากกว่ามีครอบครัว จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โครงสร้างประชากรไทยกำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นตัวเราเองควรจะถนอมตัว รักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจ ให้แข็งแรง และที่สำคัญคือ ออกกำลังสมองซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้สมองทำงานได้ดีไม่เสื่อมสภาพเร็ว การออกกำลังสมองเปรียบได้กับการออกกำลังของร่างกายที่จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อใช้กล้ามเนื้อหลายๆ ส่วนให้ทำงานเชื่อมโยงกัน ส่งผลให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น ดังนั้นการออกกำลังสมองจึงเป็นเสมือนการฝึกให้สมองส่วนต่างๆ มีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน ทำให้ระบบการทำงานของสมองแข็งแรงและมีพลังขึ้น เพราะเมื่อฝึกออกกำลังสมองบ่อยๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่านิวโรโทรฟินส์เปรียบเหมือน “อาหารสมอง” ที่ทำให้เซลล์ที่เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททำงานดีขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโตและเซลล์สมองแข็งแรง


 


อาการอัลไซเมอร์ เป็นอาการสมองเสื่อม ชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย ซึ่งเกิดจากสารหลั่งในสมองที่เกี่ยวกับความจำลดลงและมีการตายของเซลล์สมอง ทำให้การทำงานของสมองเสื่อมลงจนกระทั่งส่งผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย ในช่วง 8 – 10 ปี หลังจากเริ่มมีอาการและไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีอาการสมองเสื่อมรุนแรงยิ่งขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามปกติแม้กระทั่งการ
แปรงฟัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักพบในผู้สูงอายุ 65 ปี ขึ้นไป แต่อาจพบในผู้ที่อายุน้อยกว่าก็ได้ซึ่งมักจะมีประวัติ
สมองเสื่อมในครอบครัวด้วย โรคนี้ต่างจากอาการสมองเสื่อมที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ตรงที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากเพียงแต่ประคับประคองไม่ให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว การดูแลรักษาประคับประคอง เช่น การบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิต ไขมันในเลือดสูง และรักษาจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เข้าร่วมสังคมสม่ำเสมอ
สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าอยู่บ้านสามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ที่บ้านได้ เช่น ในขณะฟังเพลง
อาจหลับตาเพื่อจะได้มีสมาธิจดจ่อกับดนตรีได้ดีขึ้น การปั้นตุ๊กตาด้วยดินน้ำมัน หรือประดิษฐ์ดอกไม้จากแป้งก็จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทางผิวหนังให้ได้รับรู้มากขึ้น ในระหว่างเดินทางก็ฝึกสมองได้ เช่น เมื่อต้องขับรถไปทำงานทุกวันก็ลองเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง อาจเป็นเส้นทางใหม่ที่รู้อยู่แล้ว หรือเส้นทางทดลองขับก็ได้ เพราะทั้งวิวทิวทัศน์ของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นทั้งสมองชั้นนอกและฮิปโปแคมปัส ให้สร้างแผนที่เส้นทางชุดใหม่ขึ้นในสมอง หรืออาจเปลี่ยนวิธีการเดินทางบ้าง เช่น จากที่เคยขับรถก็อาจนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาทำงานแทน
ขณะทำงานก็อาจฝึกสมองไปด้วย เช่น พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย เพื่อเติมข้อมูลใหม่ๆ ให้กับสมอง ทั้งการจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น หรืออาจจะชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียงอภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ
ลองฝึกสังเกตอาการของตนเองหรือสมาชิกในครอบครัวว่ามีความผิดปกติในเรื่องความจำ การสื่อสารบ้างหรือไม่ เพราะหากพบอาการผิดปกติเร็ว ยังไม่ร้ายแรง ก็จะสามารถรักษาได้ผลมากกว่าปล่อยทิ้งไว้นานๆ อย่าลืมว่าเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ไม่มีลูกหลานก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีกันนะค่ะ