วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตมั่งคั่งด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว

ความรู้เกี่ยวกับ  : ชีวิตมั่งคั่งด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว
โดย : นางชฎาพันธ์   โสมิยะ
หน่วยงาน สำนักงานคลังเขต 5


         กระเป๋าสตางค์ไม่ได้เป็นเพียงของใช้ประจำวันหรือเครื่องประดับเท่านั้น มันยังมีอำนาจมหัศจรรย์บางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ แต่บรรดาเศรษฐีญี่ปุ่นรู้เป็นอย่างดีว่า มันสามารถเปลี่ยนคนสิ้นเนื้อประดาตัวและมีจุดเริ่มต้นที่ติดลบให้กลายเป็นมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งและมีความสุขในชีวิตได้เลย “คะเมะดะ จุนอิชิโร” เป็นที่ปรึกษาให้กับประธานบริษัทจำนวนมากในญี่ปุ่น เขาได้สังเกตวิธีการใช้กระเป๋าสตางค์ของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าหาเงินเก่งที่สุดและมีฐานะมั่นคงที่สุด แล้วสรุปออกมาเป็นเคล็ดลับง่ายๆ ที่มีหลักจิตวิทยารองรับอย่างแยบยล และส่งผลโดยตรงต่อจำนวนเงินในกระเป๋า เช่น เปลี่ยนกระเป๋าสตางค์อย่างไรให้ชีวิตเปลี่ยนไปในพริบตา เงินก็เหมือนคน มันไม่ชอบกระเป๋าอ้วนๆ อัปลักษณ์ หรือรกรุงรัง เเละตัวอย่างอื่นๆ อีกมากมาย แล้วคุณจะพบว่า แค่กระเป๋าสตางค์ใบเดียวก็สามารถพลิกฐานะทางการเงินของคุณแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้เลยทีเดียว!

เคล็ดลับการใช้กระเป๋าสตางค์ให้เป็นเศรษฐี
ใส่ธนบัตรคว่ำหัวลง
หันธนบัตรไปแนวเดียวกัน
ใช้กระเป๋าสตางค์ทรงยาว ไม่พับธนบัตรหรือนั่งทับกระเป๋า
ไม่ใส่สลิปในกระเป๋าสตางค์
ผู้บริหารงานที่การเงินดีกระเป๋าจะสวยมาก
แนะนำหลุยส์ วิตตอง หนังไทก้า แบบยาว
กระเป๋าต้องไม่อ้วน
ไม่ใส่เหรียญในกระเป๋าสตางค์
ธนบัตรมูลค่าสูงสุดเรียงไว้ด้านหลังไล่มาจนน้อยมูลค่ามากที่สุด
แลกแบงค์กลางไว้เยอะ ๆ
อย่าให้เงินหมดกระเป๋า
ราคาต้องแพงยิ่งแพงยิ่งดี
ทำความสะอาดอยู่เสมอ
ไม่พกบัตรสะสมแต้ม
แยกเหรียญไว้ในกระเป๋าอีก 1 ใบ ไม่วางแหมะ
ใช้อย่างสุภาพ
สรุป
“เงินก็เปรียบเสมือนคน”  ที่กำลังย่างก้าวเข้าสู่โรงแรมห้าดาว (กระเป๋าสตางค์คุณ)
มีใครละ! ที่ไม่อยากจะอยู่ในโรงแรมหรู มีแต่จะบอกว่า “อยู่ต่อเลยได้ไหม”



วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กลยุทธ์ป้องกันโรคข้อเสื่อม

ความรู้เกี่ยวกับ  : กลยุทธ์ป้องกันโรคข้อเสื่อม

โดย :   นางไพลิน   เดชศร
           นักวิชาการคลังชำนาญการ
สำนักงานคลังเขต 1

กลยุทธ์ป้องกันโรคข้อเสื่อม
        เชื่อว่าทุกท่านต้องการให้ข้อต่อทั่วร่างกายแข็งแรง เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพไปนานๆ ดังนั้น การทำความรู้จักชนิดและหน้าที่ของข้อจึงมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก เพื่อให้เราสามารถดูแลข้อได้อย่างถูกต้องเหมาะสมซึ่งเคล็ดลับหรือกลยุทธ์ในการป้องกัน และหากท่านได้นำไปปฏิบัติในการดำรงชีวิตประจำวันจะสามารถป้องกันข้อเสื่อมได้เป็นอย่างดี
       ก่อนอื่นเรามารู้จักข้อในร่างกายแบ่งอย่างง่ายๆ เป็น 2 กลุ่ม คือ ข้อแกนกลางร่างกาย ได้แก่ ข้อกระดูกสันหลัง ที่เริ่มต้นจากต้นคอไปจนถึงก้นกบรวม และ ข้อส่วนปลาย ได้แก่ ข้อต่างๆบริเวณ แขน ขา มือ เท้า นิ้ว เช่น ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า เป็นต้น

        ดังนั้น  จึงขอแนะนำการดูแลสุขภาพข้อให้แข็งแรง โดยแบ่งเป็น 5 หัวข้อ ได้แก่ การกิน การพักผ่อน การออกกำลังกาย ทำงาน และการดูแลสุขภาพทั่วไป

6 วิธีกินช่วยข้อแข็งแรง
        เป็นที่แน่นอนว่า อาหารการกินล้วนส่งผลดีและผลเสียต่อข้อได้ หากกินอาหารไม่มีประโยชน์จะยิ่งเร่งให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น ดังนั้น เรามาดูกันว่า ควรกินอาหารอะไรและอย่างไรเพื่อให้ข้อแข็งแรง

       1. ควรกินอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม เพราะแร่ธาตุชนิดนี้ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กระดูก และลดความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุน อาหารที่เป็นแหล่งแคลเซียมได้แก่ โยเกิร์ต เนยแข็ง แต่ควรเลือกชนิดไขมันต่ำ ผักสีเขียว บรอกโคลี คะน้า ปลาเค็ม ปลาเล็กปลาน้อยที่เคี้ยวทั้งกระดูกได้ งาดำ เต้าหู้
        2. กินส้มหรือผลไม้รสเปรี้ยวแทนขนมจะดีต่อสุขภาพข้อมากกว่า เนื่องจากมีงานวิจัยสนับสนุนว่า วิตามินซีและสารแอนติออกซิแดนต์ในส้มหรือผลไม้รสเปรี้ยวช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้
        3. เพิ่มสีสันให้กับอาหารของคุณ กินผักและผลไม้ที่มีสีสันหลากหลาย เช่น มะเขือเทศสีแดง แครอตสีส้ม กะหล่ำปลีสีม่วง ข้าวโพดและฟักทองสีเหลือง ผักใบเขียวชนิดต่างๆ เพราะในผักและผลไม้เหล่านี้อุดมไปด้วย ใยอาหาร สารแอนติออกซิแดนต์ ซึ่งเป็นสารอาหารบำรุงข้อ
        4. กินปลาทะเลน้ำลึกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะปลาแซลมอนและปลาแมคคอเรลเพราะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง จากงานวิจัยพบว่า สารอาหารชนิดนี้สามารถช่วยให้ข้อแข็งแรง และลดอาการปวดและอักเสบในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบได้ โดยหลีกเลี่ยงการปรุงด้วยวิธีทอดหรือผัด แนะนำให้ใช้วิธีย่างหรือนึ่งแทนเพื่อลดปริมาณแคลอรีจากน้ำมัน
        5. ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน คุณอาจต้องการเพิ่มพลังหรือปลุกตัวเองให้ตื่นในตอนเช้าด้วยกาแฟหอมกรุ่น แต่ควรงดกาแฟแก้วที่สองและสามระหว่างวันลง เพราะสารคาเฟอีนในกาแฟจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้ระดับแคลเซียมในร่างกายเสียสมดุล จึงเกิดการสลายแคลเซียมในกระดูกมาใช้แทน
        นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนปริมาณมากเกินไป จะทำให้มวลกระดูกบางลง ถ้าเป็นไปได้ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 1 แก้วน่าจะเพียงพอ
        6. กินอาหารให้หลากหลายเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินครบถ้วน หากทำให้ไม่ได้ อาจกินวิตามินรวมเสริม ซึ่งการกินวิตามินรวมจะทำให้คุณได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่ขาดไป เช่น แคลเซียม  และวิตามินเค       นั้น มีส่วนช่วยในการสร้างกระดูก วิตามินซีช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ กรดโฟลิคและวิตามินอีช่วยบำรุงกล้ามเนื้อรอบ ๆ  ข้อ
7 เทคนิคพักผ่อนตัวช่วยข้อแกร่ง
       การพักผ่อนเป็นหลักหนึ่งในการสร้างสมดุลชีวิต หากเลือกวิธีพักผ่อนอย่างชาญฉลาด นอกจากทำให้หายเครียดแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพข้อแข็งแรงด้วย มีอะไรบ้าง มาดูกัน
1. ปิดโทรทัศน์ การดูโทรทัศน์ นอกจากจะทำให้คุณต้องนั่งอยู่เฉยๆซึ่งทำให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อยึดติดกันแล้ว ยังทำให้การเผาผลาญพลังงานในร่างกายช้าลง และมีแนวโน้มทำให้คุณกินอาหารมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้น ไม่ควรใช้เวลาดูโทรทัศน์นานเกินไป ควรลุกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง เช่น อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ เดินชมสวน หรือเล่นกีฬาที่ชอบ เป็นต้น
2. ออกไปเที่ยวนอกบ้าน เพราะนอกจากจะเป็นการผ่อนคลายตัวเองจากความเครียดแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานอีกด้วย หรือ การทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น ทำสวน เป็นวิธีกระชับกล้ามเนื้อแขนและขาที่ส่งผลดีต่อสุขภาพข้อด้วย
3. เดินไกล โดยเลือกเดินในสถานที่ที่คุณชื่นชอบอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง การเดินระยะไกลจะช่วยเผาผลาญพลังงาน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยสร้างกระดูก และได้เพลินเพลินใจไปกับการชมทิวทัศน์ที่สวยงามของธรรมชาติ
4. พาสัตว์เลี้ยงเดินเล่น ไม่เพียงช่วยให้สุขภาพจิตของสัตว์เลี้ยงดีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงไปด้วย
5. เขียนบันทึกเป็นประจำ โดยการบรรยายอารมณ์ ความรู้สึก เช่น ความกลัวในส่วนลึก ความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ สามารถถ่ายทอดทุกมุมมองต่อเรื่องราวหรือสิ่งนั้นๆได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวด เกิดความผ่อนคลาย ลดความตึงของกล้ามเนื้อ ที่สำคัญ เมื่อย้อนกลับมาอ่านข้อความที่เคยเขียนไว้ อาจทำให้เกิดมุมมองต่อการแก้ปัญหาในชีวิตได้
6. ลาพักร้อนหรือหยุดพักจากงานประจำของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นแม่บ้าน หรือเป็นสาวออฟฟิศ ต้องหาเวลาหยุดพัก เพื่อไปทำกิจกรรมต่างๆ ที่ชื่นชอบ เป็นการสลายความเครียดและให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างผ่อนคลาย
7. รู้จักปฏิเสธกิจกรรมทำลายสุขภาพอาจเป็นการยากในการปฏิเสธเพื่อนๆที่ชวนทำกิจกรรมทำลายสุขภาพ เช่น ปาร์ตี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินบุฟเฟ่ต์ แต่เมื่อได้ลองปฏิเสธไปสักครั้ง หลังจากนั้น เพื่อนๆ ก็จะเข้าใจตัวคุณมากขึ้น และบางทีเพื่อนๆ อาจมาดูแลสุขภาพเหมือนคุณก็ได้

        ปัญหาข้อเสื่อมมีโอกาศเป็นได้ทุกคน ถ้าเราไม่รู้จักดูแลสุขภาพข้อให้แข็งแรง

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กินอะไรดีนะ ..... ถึงจะสวย หล่อ และดูดี .....


ความรู้เกี่ยวกับ  :  กินอะไรดีนะ ..... ถึงจะสวย หล่อ และดูดี .....
โดย : นางเกศกนก  สุขมานะ  ตำแหน่งนักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน ส่วนบริหารการจ่ายเงิน 1 สำนักบริหารการรับ - จ่ายเงินภาครัฐ

ใครๆ ก็อยากเป็นคนสวยเป็นคนหล่อ ... ดูดี กันทั้งนั้น ปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับพันธุกรรม ที่ทำให้คนเรามีหน้าตาดีแบบนี้ แต่ยังมีปัจจัยต่อมาที่สำคัญอย่างมาก คืออาหารที่เรารับประทานกันทุกวันช่วยทำให้คนเราเป็นคนสวยคนหล่อโดยไม่ต้องเสียเงินทองมากมาย และก็ไม่ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวกับการทำศัลยกรรม ซึ่งใครๆ ก็สามารถนำมาใช้ได้

1.ถ้าคุณอยากรูปร่างดี  ควรรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมัน เช่น
-กระเทียม ขิง ข่า พริก อาหารเหล่านี้มีรสชาติเผ็ดร้อน ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงเป็นการช่วยเผาผลาญไขมัน
-แอปเปิ้ล ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีและมีเส้นใยที่ช่วยทำให้สะอาด ในแอปเปิ้ล มีน้ำตาลฟรุกโทส ซึ่งเป็นสารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนาน จึงเหมาะกับคนที่ต้องการลดความอ้วน
-ชา มีงานวิจัยมากมายที่กล่าวตรงกันว่า นอกจากชาจะมีสารช่วยต่อสู้โรคมะเร็งแล้ว  การดื่มชาอุ่นๆ หลังอาหารยังช่วยกำจัด และเผาผลาญไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
-โยเกิร์ต การรับประทานโยเกิร์ตชนิดธรรมชาติที่ไม่มีน้ำตาลควบคู่ไปกับอาหารแต่ละมื้อ จะช่วยในการลดน้ำหนักและลดไขมันได้
2.ถ้าคุณอยากผิวสวย  ขอแนะนำให้กินผักและผลไม้มากๆ เพราะในผักผลไม้ มีวิตามินซี และวิตามินเอ เช่น
-กะหล่ำปลี ผักกาดหอม ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณโดยตรง
-กล้วย มีสารโพแทสเซียม ซึ่งช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ทำให้ลดอาการท้องผูก ทำให้มีผิวพรรณสดใส อ่อนวัย
-ส้ม มะนาว ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยผิวสร้างคอลลาเจน ทำให้หน้าลดริ้วรอย และนอกจากนี้เส้นใยขาวๆ ระหว่างเปลือกกับเนื้อส้มยังเป็นแหล่งของสารฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยบำรุงผิวให้อ่อนเยาว์อีกด้วย
-ไข่ มีสารไบโอติน ที่ช่วยปกป้องผิวแห้ง และมีโปรตีนที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนัง
-ปลา มีกรมไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาทูน่า ปลาทู ปลาแซลมอน ปลากะพง ปลาสำลี ปลาเก๋า ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังและทำให้ผนังเซลล์แข็งแรง
3.ถ้าคุณอยากมีดวงตาที่สวย  การมีดวงตาที่สดใสเป็นประกาย รวมถึงการมีผิวพรรณรอบดวงตาที่สวยมีสุขภาพดี ย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน ซึ่งอาหารที่ช่วยให้ดวงตาสวย คือ
-ฟักทอง มีวิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียมและเบต้าแคโรทีน ยังช่วยบำรุงสายตา และทำให้ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส
-ผักบุ้ง คะน้า หอมหัวใหญ่ นอกจากจะช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดแดงแล้ว ยังช่วยบำรุงกระจกตาให้แข็งแรงอีกด้วย

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

15 นาที กับ 6 วิธี ดูแลรักษารถยนต์ แบบง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง

ความรู้เกี่ยวกับ  : 15 นาที กับ 6 วิธี ดูแลรักษารถยนต์ แบบง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง
โดย : นายทองใจ  ปัญญาราช
          เจ้าพนักงานขับรถยนต์ ส. 2
          หน่วยงาน สำนักงานคลังเขต 5  

ในยุคเศรษฐกิจที่ตกต่ำค่าครองชีพสูงขึ้นผู้คนส่วนใหญ่พยายามรัดเข็มขัดประหยัดเงินกันอย่างเต็มที่ ทางเลือกอีกวิธีหนึ่งของคนมีรถที่ช่วยในการลดค่าใช้จ่ายคือการดูแลรักษารถสุดที่รักของตัวเองให้อยู่กับเราไปได้นานที่สุด ไม่เสื่อมอายุการใช้งานเร็วเกินไป 
              สำหรับผู้ใช้รถทุกท่าน การดูแลรักษาเครื่องยนต์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการยืดอายุการใช้งานรถของคุณ ปกติเราต้องตรวจตราดูแลรถยนต์อย่างสม่ำเสมออาจจะสัปดาห์ละครั้งสำหรับการดูแลอย่างละเอียดแต่ถ้าเป็นไปได้ถ้าเราหมั่นดูแลรถของเราทุกวันก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทุกวันนี้ถึงแม้นจะมีศูนย์ให้บริการดูแลรักษารถตามสถานที่ต่าง ๆ ตรวจเช็คระยะตลอดทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่ารถของคุณนั้นจะไม่เกิดปัญหาระหว่างทาง
ทางที่ดีที่สุดคือความไม่ประมาท ควรจะหมั่นตรวจสอบอยู่เป็นระยะ ๆ เมื่อเกิดปัญหาจะได้ไม่บานปลายจนต้องเสียเงินไปอีกหลายพันจนถึงเป็นหมื่น ๆ บาท การดูแลรักษารถยนต์นั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยุ่งยากและเสียเวลามากเลย เรามีข้อควรปฏิบัติอย่างง่ายสำหรับการดูแลรักษารถยนต์ประจำวันของคุณมานำเสนอครับ
                ประการที่ 1 
                ที่จะต้องตรวจก็คือ ลมยาง ตรวจง่าย ๆ ด้วยสายตาว่ามันแฟบอ่อนหรือเปล่า ดูทุกเส้นนะครับ เพราะถ้าลมยางของแต่ละล้อไม่เท่ากันจะมีผลต่อการทรงตัวของรถ ทำให้เบรกปัด วิ่งส่าย รถแถไปด้านหนึ่ง เป็นที่มาของการเกิดอุบัติเหตุด้วย อาจจะทำให้อายุของยางสิ้นลง จึงต้องควักระเป๋าก่อนถึงเวลาอันควรด้วยนะครับเพราะฉะนั้นถ้าพบว่าแรงดันลมไม่เท่ากันต้องตรวจเติมลมให้เรียบร้อย
                ประการที่ 2
                ที่ต้องตรวจนั้นคือ ตรวจดูรอยหยดรั่วของน้ำและน้ำมันต่าง ๆ ใต้ท้องรถซึ่งก้มดูด้วยสายตาทำได้ง่าย ๆ
ถ้าพบว่ารั่วที่ล้อและเป็นน้ำมันเบรกจะต้องงดใช้งานรีบปรึกษาช่างและเมื่อตรวจพบว่าน้ำระบายความร้อนรั่วหยดให้หาที่มาของการรั่ว  ถ้าเป็นข้อต่อให้ใช้ไขควงกดอัดแน่นและถ้าพบรอยรั่วของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันเฟืองท้ายก็อย่านิ่งนอนใจ เมื่อมีเวลาจะต้องนำไปปรึกษาช่างเพื่อทำให้รอยรั่วนั้น ๆ หมดไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อกลไกดังกล่าวของรถยนต์
                 ประการที่ 3
                 การดูแลน้ำระบายความร้อน วิธีดูก็ไม่ได้ยุ่งยากเลยนะครับ เพียงตรวจโดยการเปิดฝาหม้อน้ำออกถ้าพบว่าน้ำพร่องน้อยลงไปก็ใช้น้ำสะอาดเติมลงไปให้เต็ม สำหรับรถบางคันนะครับ ลองสังเกตดูว่าถ้ามีขวดพลาสติกที่เก็บน้ำอยู่และมีท่อเล็ก ๆ ต่อไปถึงหม้อน้ำก็ไม่ต้องเปิดฝาหม้อน้ำนะครับให้ดูระดับน้ำที่ขวดเก็บน้ำสำรองแทน ถ้าน้ำยังอยู่ในระดับที่กำหนดก็ไม่ต้องเติมแต่ถ้าต่ำก็ให้เปิดฝาขวดเก็บน้ำสำรอง แล้วเติมน้ำสะอาดให้เต็มนะครับ เรื่องดูแลน้ำระบายความร้อนอย่าละเลยเพราะจะทำให้เครื่องยนต์ของท่านเสื่อมสภาพเร็วได้นะครับ
                ประการที่ 4
                ดูแลตรวจเติมระดับน้ำมันเครื่องนะครับเพราะถ้าน้ำมันเครื่องพร่องหรือแห้งจะทำให้เกิดการสึกหรอภายในเครื่องยนต์วิธีตรวจระดับน้ำมันเครื่องก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลย เพียงแต่ดึงเหล็กวัดออกมาเช็ดทำความสะอาดแล้วใส่กดลงไปยังตำแหน่งของมันให้สุดจากนั้นดึงออกมาตรง ๆ ในแนวดิ่งระดับน้ำมันจะสังเกตได้จากรอยคาบน้ำมันที่เกาะอยู่ปลายเหล็กวัด น้ำมันจะต้องอยู่ระหว่างกลางขีดที่มีอักษร l (Low) และ F (Full) ถ้าต่ำจาก l ก็ให้เติมให้อยู่ในระดับเท่าเดิมและไม่ควรเติมจนเกินอักษร F เพราะจะทำให้ควันขาวจากน้ำมันเครื่องเข้ามาห้องเผาไหม้และเพลาข้อเหวี่ยงรั่วนะครับ ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อเครื่องยนต์เลย
               ประการที่ 5
               การตรวจเติมน้ำมันเบรกในกระบอกเก็บน้ำมันเบรกที่แม่ปั๊มเบรก  ถ้ามีระดับก็ไม่ต้องเติมนะครับแต่ถ้าพร่องต่ำกว่าขีดที่กำหนดให้เติมจนได้ระดับที่ถูกต้อง การเติมน้ำมันเบรกมีข้อควรระวังก็คือ อย่าให้น้ำมันเบรกหกราดโดนสีรถจะทำให้สีเสียหาย และถ้าหกห้ามเช็ดนะครับ ให้ใช้น้ำราดให้เจือจางเพราะจะทำให้สีเสียหายเป็นแผลทางยาวไปตลอดแนวที่เช็ด สำหรับน้ำมันเบรกนั้นถ้าพร่องมาก ๆ ทุกวันจะต้องรีบนำรถไปปรึกษาช่างเพราะเบรกคือชีวิต มีชีวิตของใครบ้างหรือครับก็ชีวิตของท่านและผู้ที่โดยสารมากับท่านรวมถึงผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนกับท่านด้วย
               ประการสุดท้าย
               การบำรุงรักษาประจำวัน คือกระบอกคลัตช์น้ำมันจะต้องมีการตรวจเติมน้ำมันให้อยู่ในระดับที่ถูกต้อง กระบอกดังกล่าวอยู่ข้าง ๆ กระบอกน้ำมันเบรกและน้ำมันที่เติมก็คือน้ำมันเบรกนั่งแหละ อย่าละเลยครับเพราะถ้าน้ำมันหมดจะเข้าเกียร์ไม่ได้นั่งคือรถวิ่งไม่ได้นั่นเอง
               เพียงท่านสละเวลาเพียง 15 นาทีต่อวันหมั่นดูแลรักษาสภาพเพียงเท่านี้รถของท่านก็จะอยู่ไปกับเราได้อีกนานครับ      

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เทคนิคการถ่ายภาพเพื่อการนำเสนองานอย่างมืออาชีพ

ความรู้เกี่ยวกับ : เทคนิคการถ่ายภาพเพื่อการนำเสนองานอย่างมืออาชีพ
โดย : ว่าที่ ร.อ.ภวัต  ปั้นบำรุงกิตน์
หน่วยงานสำนักงานคลังเขต 6

จากที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตร เทคนิคการถ่ายภาพเพื่อการนำเสนองานอย่างมืออาชีพ ของกรมบัญชีกลางนั้น  ข้าพเจ้ามีโอกาสได้รับความรู้และประสบการณ์จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน  ได้แก่ คุณวรนันทน์ ชัชวาลทิพากร (ศิลปินแห่งชาติสาขาภาพถ่าย)  และคุณนภดล กันบัว (ช่างภาพจากนิตยสาร อสท.)  ซึ่งพอจะประมวลองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ ดังนี้
1. ควรเลือกโหมดการถ่ายภาพให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศขณะนั้น เช่น แสงจ้า หมอก ฯลฯ
2. บรรยากาศช่วงเช้าเหมาะสำหรับการถ่ายภาพภูเขา
3. บรรยากาศช่วงเย็นเหมาะสำหรับการถ่ายภาพทะเล
4. ถ้าเป็นไปได้ควรติดตามข่าวสารและตรวจสอบสภาพภูมิอากาศ/ฤดูกาลก่อนไปถ่ายภาพ
5. กรณีที่ต้องการให้ได้ภาพที่ฉากหลังสีเข้มๆ ต้องใช้ Speed Shutter สูงๆ
6. การถ่ายภาพย้อนแสงให้ปรับ Speed shutter ให้ต่ำ และอาจใช้แฟลช์ช่วย
7. การถ่ายภาพคนควรโฟกัสที่ตาและเลือกมุมที่นัยน์ตามีประกาย
8. Reflex จะช่วยให้การใช้แฟลช์แล้วภาพไม่ออกมาหลอก
9. การถ่ายภาพควรจับจังหวะที่เหมาะสม รวมทั้งต้องพิจารณาสัดส่วนของนางแบบนายแบบเพื่อวางมุมกล้องให้เหมาะสมรวมทั้งจุดกระทบแสงบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกายนางแบบนายแบบ เช่น หน้าผาก ฯลฯ ด้วย
10. เมื่อมีแสงหลากหลายชนิดในจุดที่ต้องการถ่ายภาพ ควรเลือกใช้ AWB
11. เมื่อต้องการให้ฉากหลังเบลอ อาจใช้ Foggy พ่นบริเวณด้านหลังจุดโฟกัส รวมไปจนถึงการสร้างหยดน้ำเทียมตามดอกไม้ใบไม้ต่างๆ ได้
12. เมื่อต้องการบรรยากาศที่มีหมอกปกคลุมอาจใช้วิธีการสุมควันบริเวณต้นลมช่วยเสริมบรรยากาศได้


วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กตัญญูกตเวที

ความรู้เกี่ยวกับ  : กตัญญูกตเวที
โดย : คุณอิมรอน  กระจ่างพัฒน์
เจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน
สำนักงานคลังเขต 1

         เมื่อเอ่ยถึงกตัญญูกตเวทีแล้ว เราได้ยินกันจนชินหู แต่เมื่อมองในด้านปฏิบัติแล้ว ไม่ใช่ทำกันง่าย ๆ เพราะเหตุไร ? เพราะคนโดยมากมักชอบกินเปล่า !
ดังตัวอย่าง พ่อแม่กับลูก ลูกได้รับอุปการะจากพ่อแม่แล้วเป็นอย่างดี พอเติบโตขึ้นลูกมักทดแทนบุญคุณของพ่อแม่ไม่สมควรกัน หรือแม้แต่ครึ่งหนึ่งจากที่ท่านปฏิบัติก็ยังหาได้ยาก พ่อแม่บางคนไม่ขัดสนยากจน ถึงต้องอาศัยลูกเลี้ยงทางกายแต่ก็ยังต้องการให้ลูก “เลี้ยงทางใจ” เช่น เชื่อฟังโอวาทของท่านให้ท่านสบายใจ ไม่ฝ่าฝืนน้ำใจของท่าน
        หมั่นขยันทำตนให้เจริญด้วยวิชาความรู้และทรัพย์สินเงินทอง คราวท่านเจ็บไข้ได้ป่วยก็เอาใจใส่รักษาพยาบาล หมั่นไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ พูดเอาใจให้ท่านชื่นบาน การที่ลูกจะเอาใจใส่ปรนนิบัติพ่อแม่ได้ดี ก็ด้วยมีกตัญญูกตเวทีเป็นหลัก ถ้าขาดคุณธรรมข้อนี้แล้วไม่อาจทำลงไปได้ เพราะฉะนั้น ผู้ปรารถนาจะให้ลูกตนเองปฏิบัติดีแก่ตนอย่างไรต่อไป ก็จงปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนอย่างนั้นเถิด ทั้งยังจะได้ชื่อว่าเป็น คนดีมีศีลธรรม ซึ่งมนุษย์ด้วยกันก็บูชา เทวดาก็ชื่นชม พรหมก็สรรเสริญ
ผู้ที่เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่มาแล้ว ต่อไปก็จะเป็นศิษย์ที่ดีของอาจารย์ เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นพ่อแม่ที่ดีของลูก เป็นปู่ ย่า ตา ยายที่ดีของหลาน ต่อไปในภายภาคหน้าแน่นอนเพราะเมื่อเริ่มต้นมาดีแล้วต่อไปก็ย่อมมิพักต้องสงสัยแล
ถ้าเรามีลูก ก็หวังเหลือเกินที่จะให้ลูกมองเห็นความสำคัญ เราไม่ปรารถนาให้ลูกรู้สึกต่อเราในทางต่ำ ๆ ความช้ำใจของพ่อแม่ เห็นจะไม่มีอะไรเกินกว่า เห็นลูกลบหลู่ดูแคลน ตรงกันข้าม ความมีแก่ใจลูก ก็เป็นสิ่งวิเศษให้ความชุ่มชื่นใจพ่อแม่อย่างไม่มีอะไรเปรียบ คนเรานั้นกว่าจะเติบโตมาพึ่งแขนพึ่งขาของตัวเองได้ ก็ต้องพึ่งต้องอาศัยพ่อแม่มาก่อน ข้าวก็กิน ผ้าก็นุ่ง…ฯลฯ พ่อแม่ให้ทั้งนั้น
ตกลงว่าทุกอย่างต้องอาศัยพ่อแม่ พ่อแม่จึงเป็นผู้ที่ลูกจะต้องสำนึกด้วยความกตัญญูรู้คุณ ยามพ่อ-แม่แก่เฒ่าก็ต้องเอาใจดูหูใส่อุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงดูท่านให้มีความสุข ถ้าท่านต้องการให้ลูกมีความกตัญญูรู้คุณ เพียงแต่จะสอนด้วยการพูดให้ฟังอย่างเดียว แม้จะพรรณนาถึงความกตัญญูกตเวทีให้วิจิตรพิสดารด้วยสำนวนโวหาร ลึกซึ้งเพียงใด ก็ยังไม่พอท่านจะต้องสอนด้วยการทำให้เขาดู ให้เขารู้เขาเห็นด้วย
เด็กทุกวันนี้ต้องขาดตัวอย่างที่ดี โดยเฉพาะตัวอย่างในบ้าน ธรรมชาติบังคับให้ลูกทุกคนบูชาพ่อแม่ ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรที่ออกจากการกระทำของพ่อแม่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ประทับใจลูกไปทั้งนั้น พ่อแม่เป็นตัวอย่างคนแรกของลูก เป็นผู้สอนคนแรก
ถ้าอยากให้ลูกตระหนักในความสำคัญของท่าน ท่านก็ต้องให้ตัวอย่างที่ดีต่อเขาด้วยการปฏิบัติต่อบุพการีของท่านด้วยความกตัญญู คนเลี้ยงดูพ่อแม่ มีความเจริญทุกคน
มฆมาณพเลี้ยงพ่อแม่ด้วยดีตลอดชีพตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระโพธิสัตว์สุวรรณสามอุตส่าห์ปฏิบัติท่านทุกุลดาบสและนางปาริกา พ่อแม่ผู้เสียจักษุด้วยความจงรักภักดี พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วยังเสด็จไปโปรดพระบิดา และขึ้นไปโปรดพระมารดาถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
อันนิสัยคนดีย่อมเคารพบูชาพ่อแม่ และเลี้ยงดูท่านโดยตลอดไม่ทอดทิ้ง ผล ก็ปรากฏเป็นความจริง ตามพระบาลีว่า
                โย มาตรํ ปิตรํ วา มจฺโจ ธมฺเมน โปสติ
                อิเธว นํ ปสํสนฺติ เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ.
        แปลว่า “ผู้ที่เลี้ยงพ่อแม่ เมื่ออยู่ในโลกนี้เขาก็ได้รับการยกย่อง
สรรเสริญ ละจากโลกนี้ไปแล้วก็ได้รับความบันเทิงเริงรมย์ในสวรรค์”
คนที่กตัญญูต่อพ่อแม่เท่ากับสอนลูกให้กตัญญูต่อตัวท่านด้วย คนกตัญญูย่อมเจริญรุ่งโรจน์ด้วยลาภ ยศ สุข สรรเสริญ คนกตัญญูเป็นคนมีเสน่ห์คนกตัญญูย่อมไปสู่สวรรค์ คนกตัญญูย่อมสำเร็จมรรคผลนิพพาน ทุกหนแห่ง ทุกชาติ ทุกศาสนา ล้วนนิยมยกย่องคนกตัญญูทั้งนั้น !
ส่วนผู้ที่เป็นลูกเนรคุณ ก่อกรรมทำเข็ญต่อพ่อแม่ด้วยประการต่าง ๆ เมื่อถึงคราวตนเป็นพ่อเป็นแม่ มักถูกลูกทำแก่ตัวเช่นนั้นบ้าง เป็นกำเกวียนกงเกวียน หรือกรรมสนองกรรมต่อไป
ท่านเปรียบพ่อแม่นี้ ว่าเหมือนกับ “ไฟ” คือ มีทั้งให้คุณอนันต์ และให้โทษมหันต์สุดแต่ผู้ใช้ โบราณท่านจึงสอนให้ “บูชาไฟ” คือ ให้เข้าใจใช้ไฟนั่นเองพ่อแม่ก็เหมือนกัน

ให้คุณมากเมื่อบูชาท่าน ให้โทษมากเมื่อทำร้ายท่าน ลูกทุกคนจึงควรตระหนักในเรื่องนี้ให้มากเพราะลูกบางคนไม่ใคร่จะรักพ่อรักแม่ บางรายถึงกับแสดงความรังเกียจ เหยียดหยาม ดุตวาด ทำตาขุ่นตาเขียวให้กับพ่อแม่ เหมือนกับท่านเป็นทาสกรรมกร จะหาความเคารพคารวะสักนิดหนึ่งก็ไม่มี พ่อแม่บางคน ถึงกับกลัวลูกจนลนลาน จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังตัว กลัวลูกจะดุ กลัวลูกด่า
ลูกบางคนตอนแรก ๆ ก็รักใคร่เอาใจใส่พ่อแม่ดี แต่พอไปได้ภรรยาสามี เลยลืมพ่อลืมแม่ไป ทุ่มเทความรักให้กับสามีภรรยาเสียหมด จนไม่มีรักเหลือไว้ให้พ่อแม่เสียเลย น่าเศร้า เข้าตำรา ต้นไม้ได้น้ำค้างแล้วก็ปลื้มลืมน้ำเดิม !
ถ้าอยู่ต่างบ้าน หมั่นไปเยี่ยมเยียนเนือง ๆ ถึงไม่มีเรื่องอะไรก็ไปให้ท่านเห็นหน้าบ่อย ๆ ก็ยังดี จะมีอะไรที่จะให้เกิดสุขใจเหมือนเห็นหน้าลูกของท่านเล่า ?
ถึงท่านไม่แสดงออกทางวาจา ในใจก็รู้สึกสดชื่นอย่าลืมว่า พ่อแม่ที่เป็นคนแก่ทั้งหลายเนื้อแท้ในใจของท่านยังต้องการความเอาใจใส่เอาอกเอาใจจากลูก ๆ อยู่ ไม่ควรปล่อยให้ท่านอยู่ตามประสาคนแก่    ตีตัวออกห่างประหนึ่งว่า เกลียดคนแก่ หรือเกลียดการจู้จี้ขี้บ่นของท่าน ซึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ จงนึกถึงตัวเมื่อยังเป็นเด็กอ่อน เคยทำให้ท่านต้องลำบากรำคาญมาแล้วสักเท่าไร ท่านสู้อุตส่าห์ประคบประหงมเรามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนเติบโต ครั้นปีกกล้าขาแข็งแล้วจะมาทำให้ท่านต้องโทมนัสฐานเนรคุณ จึงผิดหลักสาธุนรธรรม  หรือธรรมของคนดี นับว่าเป็นลูกอัปรีย์จัญไรไร้คุณธรรมโดยแท้
พ่อแม่บางราย แม้จะมีลูกชายหญิงหลายคน ลูกเหล่านั้นก็ไม่อาจเลี้ยงพ่อแม่คนเดียวได้ เพราะความเกี่ยงงอน หรือรังเกียจกัน อันเนื่องมาจากความได้เปรียบเสียเปรียบกัน ว่าคนนั้นได้สมบัติมาก คนนี้ได้น้อย อะไรทำนองนี้เป็นต้น แต่หานึกไม่ว่า เวลาพ่อแม่ท่านเลี้ยงเรามา ท่านไม่เคยคิดราคาเท่านั้นเท่านี้เลย

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การคิดเชิงวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์

ความรู้เกี่ยวกับ: แนวทางการนำเสนองานเพื่อสอบแข่งขัน
โดย : ว่าที่ ร.อ.ภวัต  ปั้นบำรุงกิตน์
หน่วยงานสำนักงานคลังเขต 6

ตามที่สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการคลังและบัญชีภาครัฐมอบหมายให้ข้าราชการผู้มีศักยภาพสูง(Talent)ของกรมบัญชีกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตร ก้าวกระโดดด้วยนวัตกรรมด้วยระบบคิดอย่างสร้างสรรค์และทรงพลัง ในวันที่ 26 กันยายน 2556 ณ โรงแรมแกรนด์ทาวเวอร์ อินน์ ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร  นั้น
และจากที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว ข้าพเจ้ามีโอกาสได้รับความรู้และประสบการณ์จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผศ.ดร.ชลวิทย์ เจียรจิตต์ (คณบดี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)  ซึ่งพอจะประมวลองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ ดังนี้
หลักสูตรดังกล่าวดำเนินการในลักษณะการบรรยายและฝึกปฏิบัติ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่
การคิดเชิงวิพากษ์
การคิดเชิงสร้างสรรค์
เทคนิคการสร้างความคิดเชิงกลยุทธ์ในการทำงาน และ
การนำความคิดก้าวสู่นวัตกรรม
โดยจากการเข้ารับการฝึกอบรม ทำให้คณะข้าราชการผู้มีศักยภาพสูง (Talent) ของกรมบัญชีกลาง มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงวิพากษ์การคิดเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งเทคนิคการสร้างความคิดเชิงกลยุทธ์ในการทำงานและการนำความคิดก้าวสู่นวัตกรรม อันจะนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทั้งนี้การที่เราจะสามารถสร้างสรรค์ภารกิจใดๆ ได้นั้น  ผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องมี IQ และ EQ ที่เหมาะสม  โดยเราสามารถตรวจสอบ EQ ของตัวเราเองได้  ผ่านการทดสอบการอ่านค่าสีอย่างง่าย (รายละเอียดตาม PowerPoint ที่แนบ)  ในขณะเดียวกันเราสามารถพัฒนา EQ ได้ด้วยวิธีการดังนี้
1. เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์
2. เล่นลูกบอล
3. ลดระดับเสียงการรับฟังจากโทรทัศน์
4. ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด
5. หัดเล่นเครื่องดนตรีชนิดใหม่ๆ
6. ฝึกจดจำเนื้อเพลง
7. ฝึกโฟกัสสายตา
8. ทำกิจกรรมเงียบๆ คนเดียวบ้าง

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ขี้เกียจอ่านหนังสือทำอย่างไรดี




ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง) นายธีรภัทร ภูมี    ตำแหน่ง :  นิติกรปฏิบัติการ
ความรู้เกี่ยวกับ  : ขี้เกียจอ่านหนังสือทำอย่างไรดี
หน่วยงาน สำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ


การเพิ่มพูนความรู้ด้วยการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการสอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเก็บคะแนน หรือเลื่อนชั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเรียน แต่หลายคนก็พ่ายแพ้ให้กับความขี้เกียจของตัวเอง ขี้เกียจอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียน เพราะไม่ว่าจะจับหนังสือครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พาให้เบื่อหรือเผลอหลับไป ดังนั้นในวันนี้กระปุกดอทคอม จึงขอนำวิธีสร้างแรงบันดาลใจ และวิธีเอาชนะความขี้เกียจ มาฝากกัน
๑. คิดถึงภาพความสำเร็จ
การอ่านหนังสือเป็นแหล่งความรู้และจุดเริ่มต้นของอนาคต หากความรู้ความเข้าใจความฝันที่หวังเอาไว้คงไม่วันเป็นจริงได้ ฉะนั้นเมื่อรู้สึกขี้เกียจคิดถึงภาพอนาคตและความสำเร็จของตัวเองเอาไว้ แล้วจะมีกำลังใจในการอ่านหนังสือมากขึ้น อีกทั้งควรท่องเอาไว้ว่าสิ่งเหล่านี้สร้างขึ้นได้ด้วยสมองสองมือของเราเอง ไม่ใช่ได้มาจากความโชคดีแต่อย่างใด
๒. คิดถึงคนรอบข้าง
ถ้าได้คะแนนหรือเกรดไม่ดี ไม่ใช่แค่ตัวเราที่เสียใจเท่านั้น คนรอบ ๆ ตัวโดยเฉพาะพ่อแม่ก็รู้สึกไม่ต่างกัน และอาจจะเสียใจมากกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นในวันที่ขี้เกียจไม่อยากอ่านหนังสือควรคิดถึงรอยยิ้มและความสุขของพ่อแม่เอาไว้ หากไม่อยากให้พวกเขาต้องเสียใจเริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า
 ๓. ติวหนังสือกับเพื่อน ๆ
อ่านหนังสือคนเดียวคงรู้สึกเหงาไม่น้อย อีกทั้งยังอาจเผลอหลับได้ง่าย ๆ ดังนั้นใครที่รู้ว่าตัวเองมีนิสัยแบบนี้ลองชวนเพื่อน ๆ มาติวหนังสือด้วยกันซะเลยดีกว่า เพื่อทำให้บรรยากาศในการอ่านหนังสือน่าสนใจ และทำให้ตัวเองอยากอ่านหนังสือมากขึ้น โดยเฉพาะในเวลาที่เห็นเพื่อน ๆ ก้มหน้าก้มตาอ่านกัน หลังจากที่อ่านเสร็จแล้ว ผลัดกันถามตอบจะช่วยให้จำได้แม่นยำขึ้น
๔. ผ่อนคลายก่อนอ่านหนังสือ
สมองที่เหนื่อยล้าและร่างกายที่อ่อนเพลียมีส่วนทำให้รู้สึกขี้เกียจได้เช่นกัน ฉะนั้นก่อนอ่านหนังสือสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองด้วยการทำตามใจตัวเองสักวัน อย่างเช่น ออกไปช้อปปิ้ง  เที่ยวกับเพื่อน ทานข้าวกับครอบครัว ซื้อขนมหวานอร่อย ๆ มาทานสักชิ้นสองชิ้น เพื่อให้สมองและร่างกายได้พักผ่อนจากความตึงเครียดทั้งหลาย และเรียกพลังสำหรับการอ่านหนังสือกลับคืนมา
๕. อ่านเรื่องที่สนใจก่อน
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความขี้เกียจนั่นเป็นเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เรียนยากและคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงหากตั้งใจเรียนไม่มีอะไรเกินความสามารถ ดังนั้นลองถามตัวเองก่อนว่าสนใจ และชอบเรื่องใดเป็นพิเศษบ้าง แล้วเริ่มต้นการอ่านจากบทเรียนหรือวิชานั้น เพราะความชอบและความสนใจจะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายและทำได้ดี ทั้งนี้เพื่อสร้างกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับตัวเองก่อนจะเปลี่ยนไปอ่านวิชาที่ไม่ถนัด
๖. เขียนตารางเวลาอ่านหนังสือ
ความขี้เกียจจะทำให้ผัดวันประกันพรุ่งและเลื่อนเวลาอ่านหนังสือไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเปลี่ยนวิธีเสียใหม่ โดยเขียนตารางเวลาสำหรับอ่านหนังสือในแต่ละวันอย่างน้อย  2 - 3 ชั่วโมง พร้อมกับเวลาพักช่วงละ 5 - 10 นาที เพื่อบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือเป็นนิสัย ช่วงแรก ๆ อาจจะต้องอดทนกันเล็กน้อย แต่หากผ่านเวลานี้ไปได้ความขี้เกียจคงไม่กลับมาแล้วล่ะ อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังนิสัยการอ่านหนังสือให้กับตัวเองด้วย
 ๗. ตัดขาดจากโลกออนไลน์
พวกเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างเช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป หรือแท็บเล็ตควรลดเวลาในการเล่น หรืองดไปเลย เพราะสิ่งเหล่านี้จะดึงความสนใจของเราไป และทำให้ขี้เกียจอ่านหนังสือมากขึ้น ฉะนั้นเก็บอุปกรณ์เหล่านี้เอาไว้ใช้ หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงสอบไปแล้วดีกว่า
๘. ตามรอยไอดอล
เหล่าไอดอลต่างไม่ว่าจะเป็นศิลปินในประเทศหรือต่างประเทศ หากย้อนกลับไปดูประวัติของพวกเขาจะเห็นว่าที่มาไม่ธรรมดาจริง ๆ เพราะบางคนต้องสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ส่วนบางคนจำเป็นต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ซึ่งเหนื่อยกว่าคนทั่วไปแต่พวกเขาสามารถทำได้ ฉะนั้นหากชอบใครรักใคร อย่ายึดแค่หน้าตาภายนอกอย่างเดียว เอาความขยันของพวกเขาเหล่านั้น มาสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองด้วยดีกว่า
๙. เปลี่ยนหนังสือให้เป็นเพลง
แค่เปิดเจอหนังสือไปเจอตัวหนังสือเรียงกันเป็นหน้า ๆ ยิ่งทำให้ความขี้เกียจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ฉะนั้นเปลี่ยนวิธีเป็นการจับใจความสำคัญของเนื้อหาแต่ละบท รวมเข้ากับทำนองจังหวะดนตรีที่ชอบ เท่านี้ได้เพลงเอาไว้ร้องเพลิน ๆ แก้อาการเบื่อกับความขี้เกียจได้แล้ว อีกทั้งยังช่วยให้จำได้ดีกว่าการท่องจำแบบธรรมดาเยอะเลย
๑๐. ปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน
ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแต่ละวันมีส่วนที่สร้างความขี้เกียจได้เช่นกัน โดยเฉพาะนิสัยกินกับนอนเพียงอย่างเดียว ทั้งสองนิสัยที่กล่าวมานี้นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว ยังทำให้ขาดความกระปรี้กระเปร่าด้วย ฉะนั้นควรจะเพิ่มกิจกรรมให้ชีวิตน่าสนใจขึ้นบ้างด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อกระตุ้นความสดชื่นให้กับร่างกาย และสร้างพลังงานเอาไว้อ่านหนังสือ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ปรับปรุงใหม่



ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
ความรู้เกี่ยวกับ  : อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ปรับปรุงใหม่
โดย : นางสาววิชญาพร ภาณุศานต์
กลุ่มงานอนุมัติพิเศษ สำนักกฎหมาย

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาโดยมาสถานะเป็น บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง และรัฐวิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เมื่อมีเงินได้เกิดขึ้นแล้วผู้มีหน้าที่เสียภาษีจะต้องขอมีเลข และบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีเงินได้เกิดขึ้น กรณีเป็นผู้มีเงินได้ที่ไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ได้แก่ เป็นคนต่างด้าว หรือกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง เว้นแต่ ผู้มีเงินได้ ที่มีเลขประจำตัวประชาชนสามารถใช้เลขประจำตัวประชาชนแทนเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรได้ โดยไม่ต้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอีก การยื่นแบบแสดงรายการปกติปีละ 1 ครั้ง เงินได้ของปีใด ก็ยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป เว้นแต่เงินได้บางลักษณะ เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา
เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ เป็นต้น ที่ต้องยื่นแบบฯ ตอนกลางปี สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นใน 6 เดือนแรก ภายในเดือนกันยายน ของทุกปี ตามกฎหมายเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้แก่ เงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ซึ่งอาจคำนวณได้เป็นเงิน ที่ได้รับจริง เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้ เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด โดยใช้เกณฑ์เงินสดในการคำนวณ
ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นในระหว่างปีภาษีมีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ ก็ต่อเมื่อมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าเมื่อคำนวณแล้วจะมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม โดย ผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง ที่ได้รับในปีภาษีนั้น (ตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ) กรณีไม่มีคู่สมรสต้องมีเงินได้พึงประเมินเกิน 50,000 บาท กรณีที่มีคู่สมรสไม่ว่าฝ่ายเดียว หรือทั้งสองฝ่าย ต้องมีเงินได้พึงประเมินรวมกันเกิน 100,000 บาท สำหรับผู้มีเงินได้จากการทำธุรกิจทั่วไปที่มิใช่เกิดจากการจ้างแรงงาน กรณีไม่มีคู่สมรสต้องมีเงินได้พึงประเมินเกิน 30,000 บาท กรณีมีคู่สมรสไม่ว่าฝ่ายเดียว หรือทั้งสองฝ่าย ต้องมีเงินได้พึงประเมินรวมกันเกิน 60,000 บาท สำหรับกองมรดกของผู้ตายที่ยังไม่ได้แบ่ง และห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลเกิน 30,000 บาท
กรมสรรพากรได้มีการประกาศลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2556 และ 2557 ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 575) พ.ศ.2556 กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้

หมายเหตุ:- เงินได้สุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 150,000 บาท ยังคงได้รับยกเว้น ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551

เงินได้สุทธิ
ช่วงเงินได้สุทธิ
แต่ละขั้น
อัตราภาษี
ร้อยละ
ภาษีแต่ละขั้น
เงินได้สุทธิ
ภาษีสะสม
สูงสุดของขั้น
1 – 150,000
150,000
ได้รับยกเว้น
-
-
150,001 – 300,000
150,000
5
7,500
7,500
300,001 – 500,000
200,000
10
20,000
27,500
500,001 – 750,000
250,000
15
37,500
65,000
750,001 – 1,000,000
250,000
20
50,000
115,000
1,000,001 – 2,000,000
1,000,000
25
250,000
365,000
2,000,001 – 4,000,000
2,000,000
30
600,000
965,000
4,000,001 บาทขึ้นไป
-
35
-
-

8 วิธีคลายเครียด ทันใจ




ความรู้เกี่ยวกับ  : วิธีคลายเครียด ทันใจ
โดย : นางสาวนันทวัน แสนบัวคำ ตำแหน่ง :  นิติกรปฏิบัติการ
หน่วยงาน   สำนักกฎหมาย

8 วิธี คลายเครียด ทันใจ
อย่าปล่อยให้ชีวิตต้องจมอยู่กับความเครียด จากการทำงาน อันเร่งรีบและเรียกร้อง ลองใช้วิธีการต่อไปนี้
ที่ได้ชื่อว่าช่วยในการ คลายเครียด ให้คุณได้อย่าง ทันใจ เสมอ
1. จดบันทึก การจดบันทึกมีประโยชน์หลายอย่าง เป็นทั้งการทบทวนตัวเอง ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการสำรวจถึงทางออกที่เป็นไปได้ต่อปัญหาเหล่านี้ สามารถช่วยคุณในการย่อยสลายอารมณ์ความรู้สึกอันยากลำบากต่างๆ และเป็นหนทางในต่อสู้กับความเครียดในอนาคต
2. การทำสมาธิ มีหลายวิธีในการทำสมาธิ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดก็ตาม การฝึกทำสมาธิสามารถ
ลดความเครียดได้อย่างมหาศาล และต่อสู้กับปฏิกิริยาในแง่ลบจากความเครียด และเมื่อคุณผ่อนคลาย คำตอบของปัญหาที่ทำให้คุณเครียดก็จะมาถึงคุณเองในแบบที่ง่ายดายและชัดเจน
3. พูดกับเพื่อน การพูดสิ่งต่างๆ ออกมากับเพื่อนสามารถกระจายอารมณ์และความตึงเครียดของคุณออกมาได้ และช่วยคุณให้รู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในปัญหาของตัวเอง และเพื่อนอาจถามคำถามที่สอดรู้
สอดเห็นบางอย่าง ซึ่งจะทำให้คุณคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองในแบบที่แตกต่างออกไป
4. การพูดกับตัวเอง การพูดกับตัวเองในแง่ลบสามารถทำให้เกิดความเครียดได้มากกว่าที่คนส่วนใหญ่จะรู้ตัว เราหมายถึงเสียงเล็กๆ ในหัวของคุณที่ประเมินสิ่งต่างๆในแง่บวกหรือแง่ลบ และบอกคุณเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่คุณพบอยู่ และเกี่ยวกับตัวคุณเอง ลองเปลี่ยนจากการพูดกับตัวเองในแง่ลบ มาเป็นการพูดถึงตัวเองในแง่ดี มันอาจต้องใช้การสำรวจตัวเองเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเลือกคำพูดที่จะใช้กับตัวเอง แต่ผลที่ได้รับก็คือ ความรู้สึกมั่นใจ และความเครียดที่ผ่อนคลายลง
5. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังทำงานมากเกินไปและเครียดเกินไป มันอาจถึงเวลาที่คุณจะเรียนรู้วิธีที่จะบอกปฏิเสธกับผู้คนที่เรียกร้องเวลาจากคุณ การปฏิเสธจะทำให้คุณรู้สึกว่ามีอำนาจมากขึ้น และคุณสามารถป้องกันไม่ให้ชีวิตยุ่งเหยิงเกินไป จนวงจรความเครียดดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง คุณสามารถมองเข้าไปในตัวเองเพื่อดูว่าทำไมคุณจึงไม่เคยปฏิเสธใคร และใช้วิธีการใหม่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
6. ฝึกการหายใจ การหายใจเข้าลึกๆ เป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ง่ายดาย และมีประโยชน์อย่างมากมายต่อร่างกาย รวมถึงการเติมออกซิเจนในเลือด ที่ช่วยปลุกสมองให้ตื่นตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและทำให้จิตใจความคิดสงบ การฝึกหัดหายใจสามารถทำได้ทุกหนทุกแห่ง และได้ผลอย่างรวดเร็วจนคุณสามารถ คลายเครียดได้ในพริบตา
7. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ด้วยการเกร็งและคลายกลุ่มกล้ามเนื้อทั้งหลายในร่างกายคุณสามารถผ่อนคลาย ความตึงเครียด และรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่ต้องมีการฝึกฝนหรือเครื่องมือพิเศษใดๆ เริ่มด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งหมดบนใบหน้า แยกเขี้ยวและยิ้มค้างไว้ 10 วินาทีแล้วผ่อนคลาย 10 วินาที ทำซ้ำกับกล้ามเนื้อคอ ตามด้วยไหล่และกล้ามเนื้ออื่นๆ คุณสามารถทำแบบนี้ทีไหนก็ได้ และขณะที่คุณทำ คุณจะพบว่าตัวเองผ่อนคลายได้เร็วกว่าและง่ายกว่า
8. การออกกำลัง คนจำนวนมากออกกำลังเพื่อควบคุมน้ำหนักและเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี แต่การออกกำลังกับการจัดการความเครียดก็มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การออกกำลังทำให้เราหันเหความสนใจไปจากสถานการณ์อันตึงเครียด เช่นเดียวกับเป็นทางออกของความหงุดหงิดคับข้องใจ และทำให้คุณชื่นบานด้วยการหลั่งของเอ็นโดรฟิน

กาแฟสูตรอันตราย




ความรู้เกี่ยวกับ  : กาแฟสูตรอันตราย
โดย :  นายกุลเศขร์  ลิมปิยากร

                   หน่วยงาน  กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร

กาแฟสูตรอันตราย
ผมเป็นอีกคนที่ชอบดื่มกาแฟ แต่ปัจจุบันกาแฟที่มีให้เลือกซื้อหาได้ทั้งข้างถนนและร้านหรูดูดี แต่การดื่มกาแฟ
มากเกินไปจะทำให้ได้รับสารคาเฟอีนมากจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ดื่ม เช่น อาการ “ใจสั่น” ซึ่งเป็นอาการกระวนกระวายที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับคาเฟอีนมากเกินไป กาแฟยังเพิ่มความดันโลหิตให้กับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง กาแฟทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับในบางคนแต่ในทางกลับกันก็ช่วยให้บางคนหลับได้ดีขึ้น นอกจากนี้มันยังอาจทำให้เกิดความกังวลและอาการหงุดหงิดง่ายให้กับบางคนที่ดื่มมากเกินไป และบางคนก็เกิดอาการทางประสาทและยังลดความสามารถในการมีบุตรของสตรีและยังอาจเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเกิดภาวะกระดูกพรุนของผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน รวมทั้งยังอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์หากแม่ดื่มตั้งแต่ 8 ถ้วยต่อวันขึ้นไป
การดื่มกาแฟของสาวๆ ที่คิดจะลดความอ้วนจากการดื่มกาแฟสารพัดสูตรที่อ้างสรรพคุณโน่นนี่ โดยมักพบว่ามีการโฆษณาขายผ่านอินเทอร์เน็ต มีข่าวให้เห็นว่าตำรวจบุกทลายแหล่งเก็บและจำหน่ายกาแฟสูตรผสมไวอะกร้า ใครเป็นลูกค้าต้องสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
อันตรายจากกาแฟ
หลักๆ คือ คาเฟอีน (Caffeine) ซึ่งเป็นสารที่ได้จากพืชที่นำมาใช้ทำเครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ หรืออาจใช้เป็นตัวยาสำคัญโดยเฉพาะยาแก้ปวดผลกระทบต่อระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่เกิดจากคาเฟอีนสรุปได้ดังนี้
•ขับปัสสาวะมากขึ้น
•กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
•กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
•ผ่อนคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเรียบ
•กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
•เพิ่มระดับกรดไขมันอิสระและน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด
คาเฟอีนเป็นตัวยาชนิดหนึ่งที่มีการออกฤทธิ์ทางยาต่อระบบสมองส่วนกลางซึ่ง คุณลักษณะดังกล่าวทำให้คาเฟอีนถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันในรูปของ เครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ โกโก้ และเครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ จนกระทั่งยาประเภท
แก้ปวดลดไข้ ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับคาเฟอีนอยู่ที่ปริมาณรวมของคาเฟอีนที่เราได้รับเข้าไปในแต่ละวันถ้าบริโภคมากเกินก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นจึงควรระวังในการใช้ให้มากอาจเป็นอันตรายต่อการบริโภค เนื่องจากสารดังกล่าวมีผลข้างเคียงสูงได้แก่ ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับและท้องผูก เป็นต้น
นอกจากคาเฟอีนแล้วปัจจุบันมีตัวอย่างให้เห็นหลายรายที่ซื้อกาแฟที่โอ้อวดสรรพคุณในการลดความอ้วน แต่เมื่อดื่มไปนานๆ กลับส่งผลร้ายกับระบบทางเดินอาหารจนถึงขั้นเสียชีวิตก็มีมาแล้ว ให้ลองสังเกตดูว่ากาแฟที่กินอยู่ผสมสาร
“ไซบูทรามีน” หรือไม่ซึ่งกาแฟกลุ่มนี้จะอวดอ้างสรรพคุณเรื่องรูปร่างดี เมื่อกินเข้าไปเริ่มแรกจะมีอาการใจสั่นหวิวๆ รู้สึก
ไม่สบายคล้ายจะเป็นลม ตามมาด้วยไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1 - 2 แก้ว ซึ่งอาการ
ใจสั่นจะรุนแรงกว่าการกินกาแฟทั่วๆ ไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที และส่งตัวอย่างกาแฟให้ อย. เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป ส่วนการกินกาแฟเพื่อลดความอ้วนนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความรู้ว่า ตัวกาแฟไม่สามารถ
ลดความอ้วนได้อยู่แล้ว ฉะนั้นหากมีการอวดอ้างสรรพคุณลดความอ้วนจะต้องมีการผสมสารบางอย่างลงไป และสำหรับการ
ลดความอ้วนที่จำเป็นต้องใช้ยา จะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งการดูแลของแพทย์เท่านั้น หลักในการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน จะต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องวันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 3 วัน และปรับพฤติกรรมการกินอาหาร ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักผลไม้ที่รสไม่หวาน กินให้ครบ 5 หมู่ กินแต่พอเพียง ซึ่งจะเป็นการลดความอ้วนตามหลักการแพทย์ที่ถูกต้อง

32 ข้อ ประเมินตนเองว่า “ตื่นรู้” มากแค่ไหน


ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวปัทมา  บัวกล่ำ
ตำแหน่ง   : นักวิชาการคลัง
ความรู้เกี่ยวกับ  :  32 ข้อ ประเมินตนเองว่า “ตื่นรู้” มากแค่ไหน  
โดย               :   กองแผนงาน
ข้อคิดดี ๆ จาก ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ที่อยากนำมาให้แต่ละคนได้คิดและประเมินตนเอง เป็น checklist ง่าย ๆ  Key Behavior Indicators  :- 
๑) มีแนวโน้มที่จะสดใสขึ้น  ใจว่างๆ  โล่งๆ (ใจดี หรือดีใจ  ไม่เหมือนใจโล่งๆ นะ)  ไม่อมทุกข์  ไม่หน้าบึ้ง
๒) มีแนวโน้มที่จะยิ้มง่ายขึ้น  ยิ้มให้คนอื่นก่อน  ไม่ต้องรอให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน
๓) มีแนวโน้มที่จะไหว้คนอื่นได้ก่อน  ไม่มีข้อแม้ว่า  ใครต้องไหว้ใครก่อน
๔) มีแนวโน้มที่จะถ่อมตน  ไม่เจ้ายศ  ไม่เจ้าอย่าง  ง่ายๆ ติดดิน
๕) มีแนวโน้มที่จะรับผิดชอบงานมากขึ้น  ไม่อ้าง  ไม่หนี  อดทน  ยอม
๖) มีแนวโน้มที่จะมีเมตตามากขึ้น  ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล
๗) เมื่อได้ยินเรื่องราวใดๆ  ก็มีแนวโน้มที่จะดู  สังเกตมากกว่าที่จะด่วนวิจารณ์  ด่วนออกอาการ  ด่วนออกอารมณ์  แม้จะโดนด่า  โดนเข้าใจผิดก็ยังอดทน  ควบคุมตนเองได้ง่ายๆ  ปล่อยๆ  ไม่เอาเรื่อง  ไม่เอาก็ได้
๘) มีแนวโน้มที่จะเปิดโอกาสผู้อื่นพูดมากขึ้น  ฟังมากขึ้น  ไม่ด่วน “สวนกลับ”  ไม่ด่วน “หักคอ”  ไม่ด่วนสรุป  ไม่ด่วนฟันธง  ไม่แทรกแซงขณะคนอื่นกำลังพูด  อัตราการเต้นของหัวใจปกติ  ไม่ตูมตาม  เมื่อโดนคนอื่นว่า
๙) มีแนวโน้มที่จะยอมรับ  เปิดใจ  ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้  รับฟังอีกมุมมองได้
๑๐) มีแนวโน้มที่จะขยันๆ  และ “กล้า” ลงมือทำในเรื่องที่ดี  เป็นกุศลต่างๆ ทันที  โดยไม่มีข้อแม้  ไม่เอาเรื่องในอดีตมาทำให้สะดุดในการที่จะทำ  ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาหยุดตนเอง  ทำตามเป้าหมายได้  ไม่วอกแวก  รู้จัก focus
๑๑) มีแนวโน้มที่จะหันไปกตัญญูพ่อแม่   ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณมากขึ้น  ครูเก่า  เจ้านายที่เคยช่วยสอน  ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ
๑๒) มีแนวโน้มที่สัตว์เลี้ยงต่างๆ จะเดินเข้ามาหา  เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้  บรรดาสัตว์ในธรรมชาติ เขาจะรับรู้
๑๓) มีแนวโน้มที่จะไม่เมาบุญ  ทำได้ก็ทำ  ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
๑๔ ) มีแนวโน้มที่จะ “ให้” บริจาค  จิตอาสา  ทำเพื่อส่วนรวมมากขึ้น
๑๕) มีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ  รู้สึกว่าผู้คนกับตัวเองเป็นเนื้อเดียวกัน  ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม
๑๖) มีแนวโน้มที่จะคบบัณฑิต  
๑๗) มีแนวโน้มที่จะห่างไกลคนพาล  อบายมุข
๑๘) มีแนวโน้มที่จะรักษาศีล ๕ มากๆ  ไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ขโมย  ไม่ผิดกาม  ไม่โกหกหลอกลวง  ไม่ทานของมึนเมา
๑๙) มีแนวโน้มที่จะชื่นชม (Appreciation) ผู้คน  ยินดีที่คนอื่นได้ดี  หรือมีมุทิตานั่นเอง
๒๐) มีแนวโน้มที่จะไม่นินทาใคร  ไม่ทำให้ใครแตกแยก  ชวนให้คนสามัคคีกัน
๒๑) มีแนวโน้มที่จะไม่กังวล  หลับสบาย  หลับง่าย
๒๒) มีแนวโน้มที่จะไม่ฝันร้าย 
๒๓) มีแนวโน้มที่จะฝันดี  ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น  มีความสุข
๒๔)  มีแนวโน้มที่จะนึกอะไร  อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล   
๒๕)  มีแนวโน้มที่จะยอมคน  เช่น  ยอมให้แซงคิว  ยอมให้เอาเปรียบ  ยอมให้ต่อว่า  ฯลฯ
๒๖) มีแนวโน้มที่จะไม่ด่วน “ประเมิน”  ตัดสิน  ตัดเกรด  แบ่งแยก  พิพากษา (judgement)  ผู้คน  ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน  ดูมากขึ้น  เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง
๒๗) มีแนวโน้มที่จะรักผู้คนแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional love)  ไม่หวังผล  ให้ก็คือให้  ไม่มีข้อแม้น  ไม่อิจฉา ไม่ริษยา
๒๘) มีแนวโน้มที่จะรู้จักสติที่ฐานกาย  ใช้ “กายรู้กาย” ได้มากขึ้น  นานขึ้น  ต่อเนื่อง  รู้ทุกก้าว ทุกอิริยาบท
๒๙) มีแนวโน้มที่จะ “จับ” ความรู้สึกที่ “ใจ” ของตนเองได้  รู้ว่าใจกุศล  อกุศล
๓๐) มีแนวโน้มที่จะ “แยกแยะ” จิตกับความคิดได้  รู้จักความคิดจร (ความคิดนอกแผน  ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด  ความคิดฟุ้งซ่าน  ออกนอกทาง ฯลฯ)     
๓๑) มีแนวโน้มที่จะกลับไปอ่านหนังสือธรรมะแล้วเข้าที่ “ใจ”มากขึ้น  ร้อง “อ๋อ” มากขึ้น
๓๒) ไม่กลัวตาย  สิ้นข้อสงสัย  และไม่งมงายในศีลภายนอก
   

11 วิธีง่าย ๆ ช่วยให้เรามีความจำที่ดีขึ้น



                                     
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาววาลีรัตน์  จตุรภัทร์มานนท์  นักวิชาการคลัง
ความรู้ที่แบ่งปัน : 11 วิธีง่าย ๆ ช่วยให้เรามีความจำที่ดีขึ้น”

เคยหรือไม่ ที่รู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างขี้ลืมจริง ๆ จนอยากที่จะหาวิธีที่ช่วยให้จำสิ่งต่าง ๆ ได้แม่นยำขึ้น รวมทั้งในบางครั้ง เราก็อยากที่จะจำเนื้อหาต่าง ๆ ที่จำเป็นให้ได้มาก ๆ หากว่าเราเคยพบกับสิ่งเหล่านี้มาแล้ว วันนี้ขอนำเคล็ดลับง่าย ๆ 11 ประการ จาก theweek.com ที่จะช่วยทำให้เรามีความจำที่ดีขึ้น มาฝากให้ทุก ๆ คนได้นำไปทดลองดู
1. ครุ่นคิดถึงสิ่งนั้น ๆ อย่างน้อย 8 วินาที
ในทุกวันนี้เรามักจะคิดถึงสิ่งต่างในสมองอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการที่เราจดจ่อ ครุ่นคิดถึงสิ่ง ๆ หนึ่งที่ต้องการจดจำเป็นเวลาอย่างน้อย 8 วินาที จะทำให้สมาธิของเราวนเวียนอยู่กับสิ่งนั้น ๆ ซึ่งจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ช่วงเวลา 8 วินาทีนั้น ก็คือเวลาขั้นต่ำสุดที่สมองของเราจะย้ายข้อมูลหนึ่ง ๆ จากส่วนความจำระยะสั้น ไปเก็บไว้ยังส่วนความจำระยะยาว
2. เลี่ยงการเดินผ่านประตู
เคยไหมเมื่อเราเดินเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง แล้วก็เกิดลืมอย่างกะทันหันว่าจะเข้ามาทำอะไรในห้อง ซึ่งจริง ๆ แล้ว สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะการเดินผ่านประตูนั้นมีแนวโน้มที่จะทำให้หัวของเราว่างเปล่า โดยจากการทดลองโดยให้ผู้เข้ารับการทดลองนำวัตถุสิ่งหนึ่งเข้าไปวางในห้องแล้วเดินออกมา เมื่อเราถามเขาทันทีที่ก้าวพ้นประตู พบว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะลืมไปแล้วว่าวัตถุนั้นคืออะไร มากกว่ากลุ่มคนที่เดินออกจากวัตถุในระยะทางเท่ากัน แต่ยังอยู่ภายในห้องนั้น ดังนั้นจึงเชื่อว่าการเดินเข้าสู่สถานที่แห่งใหม่นั้น จะมีลักษณะเหมือนการรีสตาร์ทสมองของเรานั่นเอง 
3. ใช้มือข้างที่ถนัดในการทำสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างแรก
หากเรามีปัญหาในการจดจำสิ่งต่าง ๆ ในการทำงานนั้น การทำให้ร่างกายของเราจดจำสิ่งนั้น ๆ ได้ก่อน จะช่วยพัฒนาความสามารถในการเรียกคืนข้อมูลของเราได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากการศึกษาได้พบว่า 
หากเราเป็นคนถนัดขวา เรามักจะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือขวาเป็นอันดับแรกก่อนที่เราจะจดจำสิ่งเหล่านั้น ซึ่งหากเราต้องการที่จะระลึกสิ่งต่าง ๆ ได้ ให้ลองใช้มือซ้ายของเราจับต้องสิ่งเหล่านั้นสักพัก ราว 45 วินาที เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกบีบอัดอยู่ในหัวค่อย ๆ ไหลออกมา
4. ออกกำลังกาย
นักวิทยาศาสตร์มองว่าการออกกำลังกายเป็นหนทางออกสำหรับทุกปัญหา ซึ่งรวมถึงปัญหาในด้านความจำ เพราะการลงมือกระทำทางกายภาพจะเพิ่มความตื่นตัว และเพิ่มออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมอง ซึ่งอาจช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์ในสมองส่วนที่ตอบสนองต่อความทรงจำ โดยจากการศึกษาพบว่า หลังจากการออกกำลังกายเบา ๆ จะทำให้ผู้หญิงสามารถจำจดสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้หญิงที่ออกกำลังกายมาตลอดช่วง 6 เดือนนั้น จะมีการพัฒนาความจำในส่วนของภาษาและสภาพแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
5. การนอนหลับ
นักเรียนที่อยู่ในช่วงมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยส่วนมาก มักจะใช้เวลาทั้งคืนก่อนสอบใหญ่ไปกับการเคร่งเครียดอ่านหนังสือจนถึงวินาทีสุดท้าย โดยที่พวกเขาอาจจะไม่ทราบว่าแท้จริงแล้ว การนอนให้พอตลอดทั้งคืนนั้นย่อมให้ผลที่ดีกว่าการอ่านหนังสือจนถึงเช้า เพราะจากการศึกษาพบว่า ในขณะที่เราหลับ สมองของเราจะมีกระบวนการประมวลผลความคิดต่าง ๆ ที่ระดมเข้ามา เพื่อละทิ้งข้อมูลที่ไม่สำคัญ และช่วยเพื่อการจดจำข้อมูลที่สำคัญขึ้นเป็น 2 เท่า เช่นเนื้อหาในการสอบวันรุ่งขึ้นของเรา และรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นลงไปในส่วนความจำระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่สมองไม่สามารถทำได้หากเราฝืนตื่นอ่านหนังสือจนถึงเช้า
6. ใช้แบบอักษรประหลาด ๆ
ในหนังสือเรียน หนังสือพิมพ์ หรือตามอินเทอร์เน็ต ผู้คนมักจะทำให้ข้อความต่าง ๆ ดูโดดเด่นและง่ายต่อการอ่านด้วยการเพิ่มขนาดตัวอักษรและทำตัวหนา ขณะที่นักวิจัยกลับพบว่า ที่จริงแล้วตัวอักษรใหญ่ ๆ และตัวหนานั้นกลับจะทำลายความสามารถในการจำของเรา ขณะที่การใช้แบบตัวอักษรแปลก ๆ นั้น เป็นหนทางที่จะช่วยทำให้เราจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้ดีที่สุด เพราะมันอ่านยากกว่า และต่างไปจากความเคยชิน ทำให้เราถูกบังคับให้จดจ่ออยู่กับคำที่เขียนด้วยแบบอักษรแปลก ๆ นั้น จนสามารถจำมันง่ายขึ้น
7. เคี้ยวหมากฝรั่ง
เชื่อหรือไม่ว่า หมากฝรั่งช่วยทำให้เราจดจำข้อมูลภาษาและเสียงได้ดีขึ้น เมื่อเราเคี้ยวหมากฝรั่งไปพร้อม ๆ กับการพยายามจดจำข้อมูลต่าง ๆ เพราะการเคี้ยวนั้นช่วยทำให้เรามุ่งเป้ามายังสิ่งที่เราต้องการจะจำมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เหมาะสำหรับการจำสิ่งที่ต้องการเวลาจดจำนาน ราว 30 นาที ขณะที่การจดจำระยะสั้น การไม่เคี้ยวหมากฝรั่งจะให้ผลดีกว่า 
8. เขียนสิ่งที่ต้องทำด้วยมือ
ขณะที่ทุกวันนี้คนมักจะนิยมการบันทึกข้อมูลทุกอย่างไว้ในโทรศัพท์ หรือในคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่เบอร์โทรศัพท์ นัดหมายสำคัญ หรือแม้แต่สิ่งที่ต้องทำ เราจึงไม่รู้ตัวเลยว่าเราแทบจะจดจำข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้สักอย่างเดียว ดังนั้นหากเราต้องการจดจำข้อมูลใด ๆ นั้น ขอแนะนำให้เขียนสิ่งเหล่านั้นใส่กระดาษด้วยลายมือของเราเอง ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่เคยกลับมาอ่านสิ่งที่เขียนไว้เลย แต่จากการศึกษาก็ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า การที่เราลงมือเขียนข้อมูลบางอย่างนั้น จะช่วยให้เราจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้ดีขึ้นอย่างแท้จริง
9. เลี่ยงการเปิดเพลงขณะเรียนหรือทำงาน
คงมีหลายคนที่ชอบการเปิดเพลงฟังขณะที่กำลังอ่านหนังสือเรียน หรือในขณะที่กำลังทำงาน เพราะคิดว่าจะช่วยทำให้จำเนื้อหาที่อยู่ตรงหน้าได้ดีขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว นักวิจัยพบว่าการรับฟังเสียงรบกวนใด ๆ รวมทั้งการฟังเพลงนั้น จะทำให้เราไขว้เขวจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และจะทำให้หวนนึกถึงสิ่งที่เราอ่านไปได้น้อยลงในเวลาต่อมา เพราะเสียงเหล่านั้นทำให้เราเสียสมาธิได้ไม่ต่างจากการที่มีคนมาตะโกนข้างหูตลอดเวลา สำหรับคนที่เคยชินกับการฟังเพลงขณะอ่านหนังสือ เราอาจจะรู้สึกแปลก ๆ บ้างหากต้องนั่งอ่านหนังสือท่ามกลางความเงียบสงบ แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันแล้วว่า ในจะให้ผลที่ดีในระยะยาวอย่างแน่นอน
10. จินตนาการ
การใช้จินตนาการมาช่วยสร้างความจดจำนั้น เป็น 1 ในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจำบางสิ่งบางอย่าง เพราะเป็นการที่เรานำข้อมูลต่าง ๆ มาเชื่อมโยงกับภาพที่เรามองเห็น ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการเรียกข้อมูลขนาดใหญ่ซึ่งถูกเรานำมาเชื่อมโยงเป็นภาพที่มองเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนในสมองของเรา
11. วาดรูปเล่นแก้เบื่อ

หากเรากำลังนั่งเบื่ออยู่ภายในห้องเรียนหรือระหว่างการประชุม ลองหยิบดินสอมาวาดรูปเล็ก ๆ บนเอกสารของเราดูสิ แม้ว่าการวาดรูปเล่นนั้นจะดูเหมือนเราไม่ให้ความสนใจต่อการเรียนหรือการประชุมตรงหน้า แต่เชื่อหรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วการที่เราแอบวาดรูปเล่นนั้นเป็นการทำให้สมองของเรามีการทำงาน ขณะที่การนั่งฟังเฉย ๆ ความเบื่อจะทำให้สมาธิของเราหลุดออกจากเนื้อหาที่ได้ฟังไปในที่สุด จนทำให้จดจำข้อมูลเหล่านั้นได้น้อยกว่าคนที่นั่งวาดรูปเล่นเสียอีก ดังจะเห็นได้จากการทดลองที่ให้คนกลุ่มหนึ่งวาดรูปเล่นขณะนั่นฟังเทปการสนทนาที่น่าเบื่อ ขณะที่คนอีกกลุ่มไม่วาด พบว่า กลุ่มที่วาดรูปเล่นสามารถจำเนื้อหาได้มากถึง 29% ซึ่งมากกว่าอีกกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด

รายงานผลดำเนินการเกี่ยวกับงานค้างและรายละเอียดงานค้าง

ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)  
นางสาวณิชาภา นาคประเสริฐ สำนักความรับผิดทางแพ่ง
เจ้าพนักงานธุรการส.3

รายงานผลดำเนินการเกี่ยวกับงานค้างและรายละเอียดงานค้าง

1. รายงานสถิติงานค้างของสำนักความรับผิดทางแพ่ง
2. รายละเอียดประกอบ - สรุปรายงานผลการดำเนินงาน (เฉพาะลำดับที่ ๑ ตรวจสำนวน)
3. สรุปรายงานผลการดำเนินงาน
4.  ค่าเฉลี่ยคำนวณจากผลรวมของงานแต่ละเดือน

ขั้นตอนการทำรายงานผลดำเนินการเกี่ยวกับงานค้างและรายละเอียดงานค้าง
1. รายงานสถิติงานค้างของสำนักความรับผิดทางแพ่ง
รวบรวมสถิติงานค้างของแต่ละกลุ่มงานของสำนักความรับผิดทางแพ่งมีทั้งหมด 6 กลุ่มงานแยกออกมาเป็น
1. หนังสือสั่งการ/หนังสือเวียน
2. การอนุมัติ/อนุญาต (สั่งจ่ายบำเหน็จบำนาญ)
    2.1 สำนวนละเมิด
    2.2 อนุมัติ/อนุญาต (อื่น)
3. เสนอความเห็น ครม.
4. ตอบข้อหารือ
5. ร้องเรียน
6. หมายศาล
7. แต่งตั้งผู้แทน
8. อื่นๆ
2. รายละเอียดประกอบ  - สรุปรายงานผลการดำเนินงาน (เฉพาะลำดับที่ ๑ ตรวจสำนวน)
แยกประเภทของงานเฉพาะตรวจสำนวนแล้วรวมยอดสรุปรายงานผลการดำเนินงานเฉพาะสำนวน
3. สรุปรายงานผลการดำเนินงาน
แยกประเภทของงาน เป็น 13 หัวข้อ ดังนี้
1. ตรวจสำนวน
2. งานด้านคดีในศาลปกครอง
3. ตอบข้อหารือ
4. พิจารณาการผ่อนชำระ
5. พิจารณาการตัดบัญชีลูกหนี้
6. พิจารณาอุทธรณ์/ฎีกา/ประนีประนอม/คดีแพ่ง
7. ตรวจสอบการจำหน่ายพัสดุ
8. ตรวจสอบคำนวณการชดใช้ตามสัญญาลาศึกษา
9. ติดตามผลดำเนินการสืบหาหลักทรัพย์
10. พิจารณายุติการชดใช้
11. พิจารณาเรื่องอื่นๆ
12. เรื่องเพื่อทราบ
13. ติดตามเรื่องและเร่งรัดหนี้สิน
4. ค่าเฉลี่ยคำนวณจากผลรวมของงานแต่ละเดือน
ค่าเฉลี่ยคำนวณจากผลรวมของงานออกงานรอเข้ากก.,งานรอแจ้งผลและงานรอขอข้อมูลหารด้วยจำนวนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งนิติกรทั้งหมด