วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เกร็ดความรู้สำหรับคุณแม่บ้าน

ความรู้เกี่ยวกับ  :  เกล็ดความรู้สำหรับคุณแม่บ้าน
โดย : คุณ  อุบล  เชาว์พ้อง                                  
ตำแหน่ง  นักวิชาการคลังชำนาญการ 
หน่วยงาน  สำนักงานคลังเขต 9

เรื่อง เกร็ดความรู้สำหรับคุณแม่บ้าน
การเลือกใช้น้ำส้มสายชู
น้ำส้มสายชูปลอมในบ้านเรามักใช้กรดกำมะถันหรือกรดเกลือผสมกับน้ำ แล้วเจือกรดน้ำส้มสายชูเพื่อแต่งกลิ่น ออกจำหน่ายให้แก่ประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้
เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายดังกล่าวจึงควรเลือกใช้น้ำส้มสายชูชนิดใดชนิดหนึ่งใน  ๒ ชนิด คือ
1.น้ำส้มสายชูแท้ ได้แก่ น้ำส้มสายชูหมัก และน้ำส้มสายชูกลั่น น้ำส้มสายชูหมัก ได้จากการหมักน้ำผลไม้ ส่วนน้ำส้มสายชูกลั่น ได้จากการหมักอัลกอฮอล์กลั่นเจือจาง
2.น้ำส้มสายชูเทียม ได้จากการนำกรดน้ำส้มสายชูมาเจือจางในน้ำ น้ำส้มสายชูชนิดนี้ควรไม่มีสี มีกลิ่นฉุน ไม่มีสิ่งเป็นพิษเจือปน และมีความเข้มข้นประมาณ  ๔ -๘%
สำหรับพวก  อาซีติก แอซิล เกลเชียล เป็นน้ำส้มสายชู ที่มีความเข้มข้นสูง และไม่บริสุทธิ์ หากนำมา
บริโภคจะก่อให้เกิดอันตรายได้
การทดสอบน้ำส้มสายชู
วิธีทดสอบว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้ หรือน้ำส้มสายชูปลอมนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ โดยนำน้ำส้มสายชูที่สงสัยว่าปลอมปนใส่ลงไปในภาชนะแล้วหยดน้ำยาเยนเขียนไวโอเลท หรือน้ำยาป้ายลิ้นเด็กซึ่งมีสีม่วง ลงไปในน้ำส้มสายชูดังกล่าว ถ้าเป็นน้ำส้มสายชูแท้จะไม่เปลี่ยนสีม่วงของน้ำยาดังกล่าว แต่ถ้าเป็นน้ำส้มสายชูที่มีกรดกำมะถัน หรือกรดเกลือเจือปนอยู่ สีม่วงของน้ำยาดังกล่าวจะเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวหรือ  สีน้ำเงิน น้ำส้มชนิดนี้จึงไม่เหมาะที่จะมาบริโภค เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย

อาหารแห้งอันตราย
อาหารแห้งพวก พริกแห้ง เครื่องเทศ ปลาแห้ง ปลาเค็ม ถั่ว หรืออาหารเมล็ดแห้งต่างๆโดยเฉพาะถั่วลิสงที่เก็บในที่มีความชื่นสูง  มักพบสารพิษซึ่งมีชื่อว่า “อะฟลาทอกซิน”ซึ่งเกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง สารพิษดังกล่าวไม่สามารถทำลายด้วยความร้อนจากการหุงต้มธรรมดาได้ การบริโภคอาหารที่มีสารพิษนี้จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เพราะพบว่าสารพิษดังกล่าวเป็นสาเหตุของ “โรคมะเร็งในตับ”
 ข้อแนะนำในการเลือกซื้ออาหารแห้ง
1. เลือกซื้ออาหารแห้งที่มีลักษณะใหม่ไม่ขึ้นรา เป็นขุย หรือจุดด่างดำ
2. อาหารพวกถั่วลิสงทุกชนิด มักตรวจพบสารพิษของเชื้อราได้มากที่สุดจึงไม่ควรซื้อมารับประทาน

อาหารกระป๋อง
อาหารกระป๋องที่เก็บไว้นานๆจนกระป๋องบวม หรือกระป๋องมีรอยถลอกภายใน หรือเปลี่ยนเป็นสีดำ อาจทำให้อาหารเกิดพิษได้ ควรทิ้งเสีย ไม่ควรนำมาบริโภค เพราะอาจเกิดโทษจากจุลินทรีย์ หรือโลหะที่
ละลายออกมาจากกระป๋อง สำหรับอาหารกระป๋องที่ปกติ ก่อนใช้ไม่ควรต้มทั้งกระป๋อง เพราะโลหะที่เคลือบกระป๋องอาจจะลายออกมาปนกับอาหารได้ และเมื่อรับประทานยังไม่หมอไม่ควรเก็บไว้ทั้งกระป๋องควรถ่ายใส่ภาชนะอื่นเก็บไว้ให้มิดชิด หรือเก็บไว้ในตู้เย็น

อาหารกึ่งสำเร็จรูป
ปัจจุบันอาหารกึ่งสำเร็จรูป กำลังเป็นที่ต้องการของคนในเมืองใหญ่ๆผู้ประกอบอุตสาหกรรมจึงเร่งผลิต แต่คุณภาพอาหารโดยเฉพาะความปลอดภัยในการบริโภค ยังมิได้มีหลักประกันแน่นอนว่าปลอดภัย
อันตรายอันอาจเกิดจากการบริโภคอาหารกึ่งสำเร็จรูปสรุปได้คือ
1.จุลินทรีย์ ซึ่งประกอบด้วย แบคทีเรีย ยีสต์ รา และ หนอนพยาธิ
2.สารเคมีต่างๆ ได้แก่ วัตถุเจือปน โลหะหนัก และสารปนเปื้อน

สารตะกั่วในไข่เยี่ยวม้า
ไข่เยี่ยวม้าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของไข่ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเคมี และจุลินทรีย์  ในไข่มีความเป็นด่างสูงกว่าไข่ธรรมดา จึงปลอดภัยจากจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามได้มีการตรวจพบว่า ในไข่เยี่ยวม้ามีสารตะกั่วในปริมาณที่สูง บางครั้งสูงถึง ๕๐ ppm ซึ่งปกติในอาหารทั่วไปไม่ควรมีตะกั่วเกิน ๒ ppm สารตะกั่วในไข่เยี่ยวม้านี้ อาจเนื่องมาจากพ่อค้าใช้สารตะกั่วเป็นตัวเร่ง เพื่อให้ไข่เยี่ยวม้าแข็งตัวเป็นวุ้นเร็วขึ้น อันตรายที่อาจเกิด คือ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย  โลหิตจาง ซีด เหงือกมีสีม่วง อ่อนเพลีย เป็นต้น

อาหารผสมสี
อาหาร และขนมต่างๆที่วางขายอยู่ทั่วไป มักมีสีสดสวยงาม โดยเฉพาะสีที่เข้มจัด เช่น   หมูแดง กุ้งแห้ง ลูกกวาด มักพบว่าเป็นสีย้อมผ้า ซึ่งมีสารประกอบของโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
อาหารปลอดภัยควรเป็นสีธรรมชาติของอาหารเองหรือผสมสีจากสีธรรมชาติ เช่น สีจากใบเตย หรือถ้าเป็นสีสังเคราะห์ควรเป็นสีผสมอาหารที่มีเลขดัชนีสี และเลขทะเบียน อาหารระบุไว้ชัดเจน เช่น สีขององค์การเภสัชกรรมเป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

8 ปุ่มลัดบนคีย์บอร์ด เพิ่มความไวในการใช้คอมพิวเตอร์

ความรู้เกี่ยวกับ  : 8 ปุ่มลัดบนคีย์บอร์ด เพิ่มความไวในการใช้คอมพิวเตอร์
โดย : นางสาวอินทิรา  ฉัตรมงคล
หน่วยงาน สำนักงานคลังเขต ๕
8 ปุ่มลัดบนคีย์บอร์ด เพิ่มความไวในการใช้คอมพิวเตอร์
          รู้ไหมว่า... ปุ่มต่าง ๆ บนคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์นั้น ที่มีอยู่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดนั้น         มีประโยชน์และวิธีการใช้งานซ่อนเอาไว้มากมาย ซึ่งหากคุณได้รู้ถึงข้อดีของปุ่มต่าง ๆ เหล่านี้แล้วรับรองได้ว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้คอมพิวเตอร์ของคุณได้ดีมากขึ้นอย่างแน่นอน
         ด้วยเหตุนี้เอง เว็บไซต์ Mashable.com จึงได้รวบรวมเอาปุ่มลัดสำคัญ ๆ ที่ใช้งานกันอยู่บ่อยครั้ง    มาให้ได้นำไปใช้กัน ลองมาทำความรู้จักกับคุณสมบัติเฉพาะตัวของปุ่มลัดเหล่านี้กันดีกว่า เพื่อว่าคราวต่อไปคุณจะได้ใช้ประโยชน์กับมันได้มากขึ้น จะมีปุ่มลัดใดบ้าง และทำประโยชน์อย่างไร...

1. เลื่อนลูกศรไปมา  >> Ctrl + ลูกศรซ้าย + ลูกศรขวา       



 เลื่อนลูกศรไปมาได้ง่าย ๆ แถมเลื่อนไปเป็นคำ ๆ อีกด้วย เหมาะสำหรับการแก้คำทั้งลบทั้งเพิ่มในระหว่างข้อความได้เป็นอย่างดี
2. คลิกคลุมคำในข้อความ  >> Ctrl + Shift + ลูกศรซ้าย หรือ ลูกศรขวา




ไม่ต้องใช้เม้าส์คลิกคลุมข้อความให้ปวดนิ้วแต่อย่างใด ปุ่มลัดนี้จะทำหน้าที่ในส่วนนั้น โดยจะเลือกคลุมเป็นคำ ๆ ไปได้อย่างง่าย ๆ
3. ลบคำผิด  >> Ctrl + Backspace



เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยพิมพ์ข้อความต่าง ๆ แบบผิด ๆ ถูก ๆ ตกคำนั้น ขาดคำนี้ กันอยู่บ้าง ปุ่มลัดนี้  จะช่วยลบข้อความนั้น ๆ ของคุณ เพื่อให้คุณได้พิมพ์ใหม่ให้ถูกต้องต่อไป
4. คลุมข้อความหรือประโยค  >>  Shift + Home หรือ End



ไม่ต้องใช้เม้าส์ลากคลุมข้อความหรือประโยคที่ต้องการให้ยุ่งยากอีกต่อไป ปุ่มลัดนี้จะทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนให้เอง เพียงเท่านี้ก็หมดปัญหาอย่างเช่น การคลุมข้อความมาไม่ครบถ้วน
5. ล็อกเครื่อง  >>  Menu + L



 เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ เช่น ออกไปพักกลางวัน หรือไม่อยู่หน้าคอมพ์เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ล็อกเครื่องไว้ เพื่อความปลอดภัยป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมาใช้คอมพิวเตอร์ของคุณได้
6. เปิดหน้า Task Manager  >>  Ctrl + Shift + Esc
 แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่คุณเปิดมีปัญหาหรือไม่ อยากจะเช็คหาสาเหตุใช่หรือเปล่า ทั้งสามปุ่มนี้จะลัดเข้าสู่หน้า Task Manager เพื่อดูรายละเอียดข้อมูลของหน้าแอพฯ ที่เปิดได้อย่างฉับไว
7. บันทึกหรือจับภาพหน้าเว็บ  >>  Alt + Print Screen



ในการเข้าดูเว็บไซต์ต่าง ๆ คงมีหลายครั้งที่อยากจะ Save หรือ Capture หน้าเว็บนั้น ๆ เก็บเอาไว้ได้ ดังนั้นแล้วทั้งสองปุ่มนี้ ก็จะช่วยตอบโจทย์ส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี
8. เปลี่ยนชื่อไฟล์  >> ไฟล์ที่จะเปลี่ยนชื่อ + F2





ถ้าคลิกขวาที่เม้าส์เพื่อต้องการเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่คลิกขวาเจ้ากรรมดันไม่ตอบสนองล่ะก็ ให้ลองใช้วิธีที่ง่ายแบบนี้ดู สามารถใช้แทนกันได้ไม่มีปัญหา

ข้อคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี ทำงานอย่างไรให้มีความสุข

ความรู้เกี่ยวกับ : ข้อคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี ทำงานอย่างไรให้มีความสุข
โดย : นางสาวแสงหล้า ปิ่นซ้อน
หน่วยงาน สำนักงานคลังเขต ๕

ข้อคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี ทำงานอย่างไรให้มีความสุข
ศิลปะการทำงานให้มีความสุขหัวข้อทำงานอย่างไรให้มีความสุข ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. ทำงานที่ใจรัก เพราะถ้าเราทำงานที่ใจรักทุก ๆ วันจะเป็นวันแห่งความสุข เราไม่ต้องรอว่าความสุขจะมาถึงเราวันเสาร์-อาทิตย์แต่ทุกวันที่เราทำงานจะเป็นวันแห่งความสุขของเราเพราะว่าเราทำด้วยความรัก
2. ทำงานทุกชิ้นให้เต็มที่ให้ดี เพราะเมื่อเราสร้างงาน งานจะย้อนกลับมาสร้างคน งานคือเวทีแสดงออกซึ่งศักยภาพในการทำงานของเราทุกครั้งที่เราทำงานให้เต็มที่และทำอย่างดีที่สุด คนก็จะเห็นคุณค่าของเราว่ามีมากน้อยเพียงไร
3. ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสเพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสุจริตก็ไม่ต้องมานั่งระแวงภัยที่จะตามมาในอนาคตซึ่งเกิดจากการตามจับผิด โดยหน่วยงานของทางการต่างๆ ถ้าเราทำวันนี้ให้ถูกต้องก็ไม่ต้องนั่งกังวลว่าวันวานมันจะผิด
4. เป็นนักประสานสิบทิศ อย่ามัวแต่ทำงานจนหลงลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเก่งอยู่ได้คนเดียว แท้ที่จริงเราจะต้องอาศัยผู้ร่วมงานจากทุกฝ่ายอยู่เสมอ ดังนั้นอย่ามัวแต่ทำงานแต่จงทำคนด้วย เพื่อก่อให้เกิดสภาวะงานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์ คนก็สำราญ งานก็สำเร็จ ใครทำงานได้อย่างนี้คน ๆ นั้นจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน จนกล่าวได้ว่า งานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์

ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารักจะมีความสุขหรือเปล่า
ตอบได้อย่างนี้ ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารัก วิธีคิดที่ดีคือการมองเชิงบวก เวลาเจองานหนักก็ให้บอกตัวเองว่านี้คือการฝึกตัวเอง เวลาเจอปัญหาซับซ้อนก็บอกตัวเองว่ายิ่งปัญหาซับซ้อนเราก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น
เวลาเจอเจ้านายที่ละเมียดละไมเหลือเกินก็ให้บอกตัวเองว่า นายที่รอบคอบแบบนี้จะฝึกเราให้สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นถ้าเรามองเชิงบวกให้เป็นถึงแม้เราจะไม่ได้ทำงานที่เรารักแต่เราก็จะมีความสุขเสมอ ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้อะไรอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำมีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็นเราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ทำงานที่ชอบแต่เงินเดือนน้อยมองอย่างไรให้เป็นสุข
ถ้าเงินเดือนน้อยก็ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของเราทิ้งไป แทนที่จะไปเรียกร้องเงินเดือนให้สูงขึ้นกว่าจะได้ก็ช้ามาก ก็ใช้วิธีปรับวิธีในการบริโภคของเราลง ที่จะบริโภคต่างความอยาก ซึ่งเติมอย่างไรก็ไม่เต็มมาบริโภคตามความจำเป็น ดีกว่ามุ่งประโยชน์ใช้สอยอย่างมุ่งประโยชน์ใช้สวย ถ้าเราจับจ่ายใช้สอยในการถือหลักประโยชน์ใช้สวยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่ถ้าเราถือหลักจับจ่ายใช้สอย คือจำเป็นแค่ไหนก็จับจ่ายใช้สอยแค่นั้น พอกินพอใช้ ถึงแม้ไม่รวยแต่ก็ไม่ถึงขั้นตกต่ำย่ำแย่ แทนที่เราจะเรียกร้องเงินเยอะ ๆ ทำไมเราไม่ลดหรือเปลี่ยนวิธีในการบริโภคของเราแทน บริโภคต่างตัณหาทำให้เรามีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ แต่บริโภคตามปัญญาถึงเงินไม่มากมายอะไรแต่เราก็มีความสุขตามสมควร...

วิธีการแก้ปัญหาในที่ทำงาน ทั้งโดนนินทา โดนแกล้ง
1. มารไม่มีบารมีไม่เกิด
2. สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นกำไรเสมอ
3. อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวคำนินทา
4. ถูกชมก็เข้าท่าถูกด่าก็ไม่เลว เหล่านี้เป็นคติที่พระอาจารย์ใช้ทำงานอยู่เสมอ จึงสามารถรับมือได้ทุกกระบวนท่ากว่าจะผ่านปัญหาไปได้ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไร
จะต้องทำตัวให้หนักแน่นดังแผ่นภูผา ลมมาพัดก็ไม่ปลิวไปตามลม ฝนสาดก็ไม่เปื่อยสลาย แดดส่องก็ไม่ละลายไปกับแสงแดด ฉะนั้นทำตัวให้หนักแน่นดั่งแผ่นภูผาเราก็จะอยู่ในทุกสภาวะของชีวิต

น้อยใจทำงานมานานแล้วไม่มีโบนัส มีวิธีคิดอย่างไร...?
ถ้าโบนัสไม่มาเอาเท่าที่มีก่อนก็ได้ มีคนอีกมากที่ตกงานแต่เรายังมีงานทำ มองเป็นก็จะเห็นธรรม แต่ถ้ามองไม่เป็นก็จะมาน้อยใจ เวลาที่เรารู้สึกแย่มองคนที่แย่กว่าเรา แล้วเราจะรู้สึกว่าเรายังได้เปรียบอยู่

วิธีผ่อนคลายในการทำงานของพวกมนุษย์เงินเดือน
ถ้าเราทำงานแล้วคุณภาพชีวิตไม่ดีแสดงว่าเรากำลังเดินผิดทางมันกำลังสุดโต่ง ฉะนั้นเวลาทำงานอย่ามัวแต่ทำงานให้สังเกตคุณภาพชีวิตของตัวเองด้วย เมื่อเราทำงาน มีเวลากินข้าวกับครอบครัวไหม เรามีเวลาพักผ่อนวันเสาร์วันอาทิตย์ไหม เรามีเวลาอยู่กับลูกและภรรยาไหม เรามีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างหรือเปล่า ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้หายไปในชีวิตแสดงว่าคุณได้เสียสมดุลย์ชีวิตไปแล้ว ถ้าไม่ปรับมาสู่ทางสายกลางแสดงว่าอนาคตอันใกล้คุณกำลังป่วย เอาเงินที่หามาทั้งชีวิตมาใช้ในโรงพยาบาล นี่เป็น "โรคอารยธรรม" ที่กำลังเกิดขึ้นกับมนุษย์ในยุคทุนนิยมทั่วโลก ที่อเมริกา ที่ญี่ปุ่นป่วยด้วยโรค Workaholic เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศไทยอันดับต้นๆของเอเชีย เพราะเราเครียดจากการเมือง เครียดจากเศรษฐกิจ เครียดจากแข่งขันในระบบทุนนิยมด้วย ดังนั้นใครที่เป็นโรคบ้างานจะต้องระมัดระวังถามตัวเองด้วยว่า เรามีภาวะสมดุลย์งานสมดุลย์ชีวิตแล้วหรือยัง อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงเสน่ห์อบายมุข อย่ามีความสุขจนลืมศีลธรรม