วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ลดโลกร้อนในออฟฟิตได้ง่ายๆ ใน 10 ข้อ

โครงการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ชาวกรมบัญชีกลาง (CoP : Community of Practice)
กิจกรรม : พักเบรคปันความรู้ของหน่วยงานภายในกรมบัญชีกลาง (CGD Coffee Talk)
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖

พักเบรกปันความรู้ของ    สำนักงานคลังเขต  6  พิษณุโลก
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางณัฐกฤตา  มัทธุจัด  นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ


ใครหลายคนคงนึกไม่ถึงว่าเวลาที่เราทำงานนั้นสามารถที่จะช่วยให้ลดโดลกร้อนได้ เพราะเรานั้นทำงานไม่ต่ำกว่า  8 ชั่วโมงในออฟฟิศอยู่แล้ว ดังนั้นเราควรที่จะมาใส่ใจกับการลดโลกร้อน เริ่มด้วย 10 ข้อแนะนำ ที่จำมาเสนอ
1.เมื่อเราเปิดประตูเข้าทำงานในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศก็รีบปิดและต้องปิดให้สนิทด้วย
ควรใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม
2.ถ้าหากอยู่ชั้นที่ไม่สูงมากนักก็ให้เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์และยังเป็นการทำให้ร่างกายเรา แข็งแรงและเป็นการผ่อนคลายก่อนทำงาน
3.เวลาที่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อไม่ใช้หรือเวลาที่พักเที่ยงควรปิดแล้วถึงพัก 
4.การเลือกซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานอย่างสูงสุด
5. ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าให้คุ้มค่า ดังต่อไปนี้
-ใช้กระดาษทั้ง 2 หน้า หรือถ้าเกิดว่าเราพิมพ์แล้วเรียกก็สามารถนำมาจดบันทึกหรือทดอะไรก็ได้
ถ้าเกิดหลีกเลี่ยงได้ควรใช้คลิปหนีบกระดาษแทนการใช้ลวดเย็บกระดาษเพราะสามารถนำมาใช้ใหม่ได้
6.ซองจดหมายให้นำกลับใช้ซ้ำอีก อาจจะใช้ต่อหลาย ๆ ครั้งเลยก็ได้เพื่อเป็นการประหยัดกระดาษหรือ   อาจะใช้ E-mail แทนการใช้จดหมายเวียนแทนก็จะเป็นการดีมาก
7.การใช้งานห้องน้ำควรใช้ไดร์เป่ามือแทนการใช้กระดาษชำระแทนการเช็ดมือและให้ปิดก๊อกน้ำ ให้สนิททุกครั้ง และควรปิดประตูห้องน้ำเพื่อไม่ให้แอร์ระบายเข้าไปให้ห้องน้ำแล้วจะทำให้แอร์ ทำงานหนักได้
8.เวลาไปรับประทานอาหารควรที่จะใช้แก้วแทนการใช้พลาสติก แล้วไม่ควรที่จะใช้หลอดเพราะพลาสติกย่อยสลายเองตามธรรมชาติได้ยากมากและต้องใช้ระยะเวลานาน
9.การใช้งานในห้องครัวไม่ควรที่จะเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ ควรนำของออกมาแล้วค่อยเก็บในตู้เย็นครั้งเดียว       ไม่ควรที่จะนำของที่ร้อน ๆ อยู่ไปไว้ในตู้เย็นก่อนที่จะนำเอาเข้าไปนั้นรอให้เย็นเสียก่อนแล้ว จึงนำเข้าตู้เย็นได้เพราะถ้านำของร้อนเข้าตู้เย็นจะทำให้ตู้เย็นนั้นทำงานหนักเกินไปทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ แล้วยังเป็นการยืดอายุการใช้งานของตู้เย็นได้อีกด้วยกาต้มน้ำร้อนควรถอดปลั๊กออก เมื่อไม่ใช้งานเพราะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ 
10.ก่อนที่เราจะออกจากที่ทำงานควรที่จะตรวจสอบว่าเราได้ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และถอดปลั๊กออก ให้เรียบร้อยก่อนที่จะกลับบ้าน เวลาเดินทางติดต่องานนอกสถานที่ตั้งสำนักงาน ให้ไปครั้งเดียวแต่สามารถปฏิบัติได้หลายงาน

หมายเหตุ  ข้อมูลจาก สำนักสำรวจวิศวกรรมด้านธรณีวิทยา  กรมชลประทาน


สุขภาพดี...ด้วยสารพัดเห็ด

โครงการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ชาวกรมบัญชีกลาง (CoP : Community of Practice)
กิจกรรม : พักเบรคปันความรู้ของหน่วยงานภายในกรมบัญชีกลาง (CGD Coffee Talk)
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕6

พักเบรกปันความรู้ของสำนักงานคลังเขต 5
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นายชาตรี  บุปผาเจริญสุข
ตำแหน่ง พนักงานพิมพ์ ส.3

ขอแนะนำอาหารดีๆ อีกชนิด เป็นพืชที่ชอบขึ้นตามขอนไม้ที่ชื้นแฉะอย่าง "เห็ด" หาทานได้ง่าย แถมยังมีประโยชน์มากมาย โดยปัจจุบันเห็ดหลากชนิด อาทิ เห็ดฟาง เห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดแชมปิญอง เห็ดเข็มทอง เห็ดออรินจิ เห็ดสกุลนางรมต่างๆ เห็ดโคน เห็ดหูหนู ถูกนำมาทำเป็นอาหารสุขภาพหลากเมนู นิยมทานทั้งแบบเห็ดสด แบบบรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่ตากแห้ง นอกจากนี้วงการยาก็นำไปศึกษาวิจัยเรื่องสรรพคุณทางยา  ที่น่าสนใจคือเคยมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า เห็ดหลายชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีโปรตีนสูง สามารถทดแทนโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ อาหารมังสวิรัติจึงนิยมใช้เห็ดเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้เห็ดบางชนิดยังนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้อีกด้วย
สรรพคุณของเห็ดแต่ละชนิดกัน
- เห็ดหอม ลดไขมันในเส้นเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็ง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน โซเดียมต่ำเหมาะสำหรับคนป่วยโรคไต ลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร
- เห็ดหูหนู เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวส่งผลให้ภูมิต้านทานดี ช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง บำรุงสมอง หัวใจ ปอด กระเพาะ ตับ แพทย์แผนจีนใช้บำรุงไต ลดไข้ กระตุ้นการทำงานของลำไส้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ต้มกับน้ำตาลกรวดจิบแก้ไอ
- เห็ดเข็มทอง ถ้าทานเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะและลำไส้อักเสบเรื้อรัง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่เยื่อบุช่องท้อง ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
- เห็ดหลินจือ มีสารสำคัญเบต้ากลูแคน ช่วยต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้เสริมการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังสามารถรักษาโรคในระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ อย่างระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะ ท้องผูก ริดสีดวงทวาร ระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการไอ แก้ปอดอักเสบ ภูมิแพ้ และระบบการไหลเวียนของเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ลดคลอเลสเตอรอล
- ส่วนเห็ดนางฟ้า เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดนางรม เห็ดภูฎาน ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาลในเลือด
ปรับสภาพความดันโลหิต ลดการอักเสบ ยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย
- เห็ดหูหนูขาว ช่วยบำรุงปอดและไต เห็ดฟาง ลดความดันโลหิต เร่งการสมานแผล บำรุงกำลัง บำรุงตับ
แก้ช้ำใน
- เห็ดเผาะ หรือเห็ดถอบ บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง แก้ช้ำใน
- เห็ดโคน บำรุงร่างกาย ทำให้แช่มชื่น กระจายโลหิต ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งได้



การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

โครงการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ชาวกรมบัญชีกลาง (CoP : Community of Practice)
กิจกรรม : พักเบรคปันความรู้ของหน่วยงานภายในกรมบัญชีกลาง (CGD Coffee Talk)
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕6

พักเบรกปันความรู้ของสำนักงานคลังเขต 1
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
คุณอำพา  สุขศรี นักวิชาการคลังปฏิบัติการ


 ประโยชน์สุขจากการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
 “ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว เราอาจจะอดอาหารได้เป็นเดือน ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถขาดน้ำได้เกินกว่า 3 -7 วัน การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติ และมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันการขับถ่ายของเสียก็ทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น มีเลือดฝาด และไม่ปวดหลังหรือบั้นเอว เพราะสุขภาพไตแข็งแรง การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะช่วยทำให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริงน้ำเป็น "อาหารอันวิเศษ " ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร
น้ำที่ควรดื่ม ควรเป็นน้ำธรรมดาไม่เป็นน้ำที่ร้อนมากหรือที่เย็นจัด แต่ถ้าเป็นน้ำอุ่นๆ เล็กน้อย ก็ควรดื่มในตอนเช้าเพราะจะให้การขับถ่ายดีขึ้น ลำไส้สะอาด
ระยะเวลาที่ดื่มน้ำ ใน 1 วัน อาจจะเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับตัวเอง
ตื่นนอนตอนเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้ว
ตอนสาย ดื่มน้ำ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น)
ตอนบ่าย ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00 – 16.00 น)
ตอนเย็น ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาร 19.00 – 20.00 น)
ก่อนเข้านอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายดีขึ้น รวมแล้วให้สามารถดื่มน้ำเปล่าได้วันละ 10 แก้ว นอกเหนือจากนั้น สามารถดื่มน้ำนม  น้ำผลไม้  และอื่นๆ ได้อีกไม่จำกัด
ข้อควรจำ
1. ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปกติสบายๆ ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้ และกะเพาะอาหารขยายตัวขึ้น หากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก
2. ระยะแรก จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด
3. อย่าดื่มน้ำมากก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหาร(ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร) และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี
4. การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควรอิ่มจนแน่นท้องเกินไป ควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง จึงดื่มน้ำตามปกติ



กินผลไม้ 5 สี ดีกับสุขภาพ

โครงการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ชาวกรมบัญชีกลาง (CoP : Community of Practice)
กิจกรรม : พักเบรคปันความรู้ของหน่วยงานภายในกรมบัญชีกลาง (CGD Coffee Talk)
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕6

พักเบรกปันความรู้ของ   สำนักมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง) : นางสาวลัดดาวรรณ เลิศวิไลมณีวงศ์

                                       เจ้าพนักงานการคลังชำนาญงาน


ผักผลไม้มีสีต่าง ๆ มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ผักผลไม้แต่ละสีช่วยป้องกันมะเร็งในประเภทที่แตกต่างกันไป ด้วยการกำจัดสารอนุมูลอิสระและเพิ่มเอนไซม์ที่กำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย ผู้บริโภคจึงควรบริโภคผัก ผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สีในทุกๆ วัน อันได้แก่ สีเขียว สีม่วง สีแดง สีขาวและสีเหลือง เพราะบางสียังดีกับมะเร็งบางอวัยวะโดยช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งให้ช้าลง เรามาลองดูผักผลไม้แต่ละสีดูกันนะคะว่ามีประโยชน์กับเราอย่างไรบ้าง
ผักผลไม้สีเขียว  = พวกนี้เราพบเห็นได้โดยทั่วไปก็เช่น ผักบุ้ง ผักโขม ผักปวยเล้ง ผักกาดหอม ผักคะน้า แตงกวา กะหล่ำปลี ใบชะพลู ใบทองหลาง ฯลฯ ประโยชน์ ให้สารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ขจัดฮอร์โมน อันเป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านม
ผักผลไม้สีเหลือง-ส้ม = บ้านเรามีผลไม้ที่มีสีเหลืองเยอะมาก เช่น ส้มชนิดต่างๆ มะละกอ แครอท ฟักทอง มันเทศ สับปะรด ผลไม้เหล่านี้มีประโยชน์คือ ให้สารเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยส์ ช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจ หลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงสายตา
ผักผลไม้สีน้ำเงิน-ม่วง = จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าผักผลไม้จะมีสีสวยๆ แบบนี้นะคะ ผักพวกนี้ก็เช่นกะหล่ำสีม่วง มะเขือม่วง ลูกหว้า ชมพู่มะเหมี่ยว ดอกอัญชัน หอมแดง ฯลฯ ประโยชน์ ให้สารแอนโทไซยานิน ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ยับยั้งเชื้ออีโคไลในช่องทางเดินอาหาร (ซึ่งทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้)
ผักผลไม้สีขาว-น้ำตาล = พวกนี้มีเยอะมากเช่น กระเทียม หัวไชเท้า ถั่วเหลือง ลูกเดือย ขิง ข่า งาขาว ประโยชน์ของผักผลไม้สีนี้คือ ให้สารแอนริซิน สร้างเซลล์ให้แข็งแรง ยับยั้งการเกิดเนื้องอก ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก ต้านการอักเสบ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดปริมาณไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน รักษาระบบภูมิคุ้มกัน เรียกได้ว่าสารพัดสรรพคุณกันเลยทีเดียว
ผักผลไม้สีแดง = อันนี้เรียกว่าพระเอกขี่ม้าขาวของเราเลยก็ได้ค่ะ ผักผลไม้ที่มีสีแดง ไม่ว่าจะเป็นพวกผัก เช่น มะเขือเทศ แครอท หอมแดง พริกหวาน พริกชี้ฟ้า แตงโม ทับทิม ส้มโอ มะละกอสุก ฝรั่งสีแดง แก้วมังกร หรือผลไม้ต่างชาติอย่างแอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ บีทรูท ราสเบอร์รี่ ผักผลไม้สีแดงเหล่านี้มีสารที่มีชื่อว่า ไลโคพีนอยู่ในปริมาณสูง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอี 100 เท่า และมากกว่ากลูตาไธโอนถึง 125 เท่า
รู้อย่างนี้แล้ว เราควรจะมารับประทานผักและผลไม้กันให้มากๆ นอกจากจะเพื่อสุขภาพที่ดีของเราแล้ว การรับประทานผักผลไม้มากๆ มีผลช่วยในการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย และที่สำคัญ อย่าลืมว่าพยายามรับประทานให้ครบทุกสี อย่าเลือกที่รักมักที่ชังนะคะ

10 วิธีการออกกำลังกายง่ายๆ ในที่ทำงาน

โครงการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ชาวกรมบัญชีกลาง (CoP : Community of Practice)
กิจกรรม : พักเบรคปันความรู้ของหน่วยงานภายในกรมบัญชีกลาง (CGD Coffee Talk)
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖

พักเบรคปันความรู้ของสำนักกฎหมาย
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวญาณิศา ศิริวัฒน์ นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
นางสาวอุทุมพร แก้วมาลา นิติกร


 10 วิธีการออกกำลังกายง่ายๆ ในที่ทำงาน
          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ตื่นเช้ามาทำงานกว่าจะกลับถึงบ้านก็หมดแรง เรื่องออกกำลังกายไม่ต้องพูดถึง จะมีเวลาได้อย่างไร ตอนอยู่ที่ทำงานก็จดจ่ออยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งปวด เมื่อย ล้า วันนี้เรามีวิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดความเมื่อยล้า 10 วิธีง่ายๆ ที่ทำได้ในที่ทำงาน เสียเวลาแค่เพียง 10 นาที
          ท่าที่ 1 นั่งหลังตรง มือทั้งสองข้างจับขอบเก้าอี้ค่อยๆ เอียงคอไปด้านใดด้านหนึ่งช้าๆ เมื่อเริ่มรู้สึกตึงที่บ่าด้านตรงข้ามให้ค้างไว้ 10 วินาที จะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่ตึงคลายตัว อย่าเพิ่งเอียงคอกลับมาที่เดิม แต่ให้เอียงเพิ่มไปอีกเล็กน้อยจนรู้สึกตึงเท่าตอนต้น แล้วค้างไว้อีกประมาณ 10 วินาที ค่อยเอียงคอกลับมาในท่าตรง
          ท่าที่ 2 นั่งหลังตรง มือทั้งสองข้างจับขอบเก้าอี้ค่อยๆ หมุนคอไปด้านใดด้านหนึ่งช้าๆ เมื่อเริ่มรู้สึกตึงที่บ่าหรือ   คอด้านตรงข้ามหรือด้านเดียวกันให้ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที เมื่อรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่ตึงคลายตัว อย่าเพิ่งหมุนคอกลับมาที่เดิม ให้หมุนเพิ่มไปอีกเล็กน้อยจนรู้สึกตึงเท่าตอนต้นแล้วค้างไว้อีก 10 วินาที แล้วหมุนคอกลับมาในท่าตรง       
          ท่าที่ 3 ยักไหล่ขึ้นเต็มที่ค้างไว้ 5 วินาที แล้วปล่อยไหล่ลงจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณบ่า มีการผ่อนคลาย  ทำซ้ำอีก 2-3 ครั้ง
          ท่าที่ 4 ใช้มือซ้ายจับที่นิ้วบริเวณฝ่ามือขวา ชูมือทั้งสองข้างขึ้นทางด้านหน้า เหยียดศอกให้ตรง ดัดข้อมือขวา  เข้าหาตัว จะรู้สึกตึงบริเวณศอกขวาด้านใน ค้างไว้ 10 วินาที สลับไปทำอีกข้าง
          ท่าที่ 5 นวดฝ่ามือซ้ายด้วยนิ้วโป้งมือขวา ด้วยการกดไปตรง ๆ บนฝ่ามือแล้วหมุนนิ้วโป้งเป็นวงกลม (ไม่ใช่การถู ที่ผิวหนัง) 3 รอบ เลื่อนนิ้วโป้งไปที่จุดอื่น ๆ บนฝ่ามือซ้ายจนครบทั้งฝ่ามือ สลับไปทำอีกข้าง
          ท่าที่ 6 ใช้มือขวาดึงนิ้วโป้งมือซ้ายเข้าหาตัวจะรู้สึกตึงบริเวณอุ้งมือและข้อนิ้วโป้ง ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที  สลับไปทำอีกข้าง
          ท่าที่ 7 ทำสองมือพร้อมกัน กำมือให้แน่นที่สุดประมาณ 5 วินาที คลายออกช้า ๆ  เหยียดและกางนิ้วออกให้มากที่สุด 5 วินาที แล้วกลับมาอยู่ในท่าปกติ ทำซ้ำอีก 2-3 รอบ จะรู้สึกผ่อนคลายบริเวณนิ้วและฝ่ามือ
          ท่าที่ 8 แขม่วท้องให้ท้องแฟบมากที่สุด เกร็งไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วผ่อนคลาย จากนั้นพองท้องออกมาให้มากที่สุด เกร็งไว้ประมาณ 5 วินาที ทำซ้ำอีก 2-3 รอบ
          ท่าที่ 9 ลุกขึ้นยืนหลังตรง วางมือบนพนักเก้าอี้ ย่อเข่าและตัวช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ยืดตัวขึ้น ทำซ้ำอีก 2-3 รอบ หรือเพิ่มการเขย่งปลายเท้าขึ้นลงตามไปด้วยจะช่วยผ่อยคลายขา (ห้ามใช้เก้าอี้ล้อเลื่อน)
          ท่าที่ 10 นั่งหลังตรง เหยียดขามาทางด้านหน้า กดปลายเท้าทั้งสองข้างลงกับพื้นให้มากที่สุด ค้างไว้ 10 วินาที แล้วยกปลายเท้าเกร็งขึ้น ค้างไว้ 10 วินาที ทำซ้ำอีก 2-3 รอบ