แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
คุณ สุภรา หอมไชยแก้ว
ตำแหน่ง นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
คุณ สุปรียา นวลจริง
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน สำนักงานคลังเขต ๙
ความรู้ที่แบ่งปัน : การสวดมนต์
การสวดมนต์นั้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับทุกคนในยุคนี้ สะดวกมากในทุกเพศ ทุกวัยและไม่ใช่เรื่องของคนแก่อีกต่อไปเหมือนที่เคยเป็น และเราเข้าใจผิดกันอย่างนั้น บทสวดมนต์ต่างๆ มีการเผยแพร่ออกมามากมายในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นกันและได้ยินกันจนเคยชินมากมายจนกระทั่งในปัจจุบัน การสวดมนต์เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มเด็กหรือวันรุ่น ก็หันมาสนใจการสวดมนต์กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ก่อนนอนด้วยบทสวดตามปกติจนไปถึงคาถาชินบัญชร บทสวดยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก และบทสวดอื่น ๆ อีกมากมาย
พุทธฤทธิ์ พิชิตภัย
สวดให้ขลังด้วยกำลัง 5 ประการ
การสวดมนต์เพื่อป้องกันภัยนั้น จะเกิดอานุภาพมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในบทสวดและความตั้งใจของผู้สวดเป็นสำคัญ เพราะพุทธมนต์แต่ละบทล้วนมีพลังอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวแล้ว เพียงแต่ว่าใครจะสามารถนำออกมาใช้ให้เกิดผลได้มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น หัวใจของการปลุกพุทธมนต์ให้เกิดฤทธานุภาพนั้น มี อยู่ 5 ประการ เรียกว่า พละ 5 คือ
1. ต้องมีศรัทธา คือ มีความเชื่อมั่นในอานุภาพของพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในอานุภาพของบทสวด เชื่อมั่นในอานุภาพแห่งความดี เชื่อมั่นว่าการสวดมนต์เป็นการทำความดี และเชื่อมั่นว่าเมื่อตนทำความดีด้วยการสวดมนต์แล้ว ความดีจักคุ้มครองตนให้ปลอดภัย ทำให้ชีวิตมีความสุขและคิดให้เป็นสุขได้
2. ต้องมีวิริยะ คือ มีความเพียร ตั้งใจทำ ไม่ทำด้วยความเกียจคร้าน
3. ต้องมีสติ คือ ในขณะสวดต้องมีสติรักษาใจให้จดจ่ออยู่กับบทสวด ไม่ปล่อยใจลอยไปคิดเรื่องอื่น คนที่สวดแต่ปาก แต่ใจลอยไปที่อื่น การสวดมนต์ก็เปล่าประโยชน์
4. ต้องมีสมาธิ คือ ขณะสวดพึงรักษาจิตให้ตั้งมั่นแน่วแน่อยู่กับการสวดเท่านั้น ถ้าผู้สวดสามารถรักษาสติให้อยู่กับบทสวดได้นานเท่าไร สมาธิก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จิตที่มีสมาธิมาก ย่อมมีพลังในการปลุกเสกพระพุทธมนต์ให้เกิดอานุภาพได้มาก
5. ต้องมีปัญญา หมายถึง ต้องสวดด้วยความเข้าใจ คือ ในขณะ สวดมนต์ก็ให้พิจารณาทำความเข้าใจในเนื้อหาของบทสวดไปด้วย เพราะเมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจที่ประกอบด้วยเหตุผลแล้ว ก็จะเป็นแรงหนุนให้มีศรัทธามากขึ้น เมื่อศรัทธามากขึ้น ก็ทำให้มีวิริยะมากขึ้น เมื่อวิริยะมากขึ้น สติก็มากขึ้น เมื่อสติมากขึ้นก็เกื้อหนุนให้สมาธิแก่กล้าขึ้น เมื่อสมาธิแก่กล้าขึ้น ปัญญาก็ เฉียบแหลมยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในพระพุทธมนต์ก็จะซึมซาบเข้าสู่จิตใจ ก่อให้เกิดพลานุภาพคุ้มครองตนเองได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง แต่สำหรับบางคนที่กำลังเริ่มจะสวดมนต์ ยังไม่เคยทราบว่านอกการได้สติ ได้จิตใจที่สงบสุขมาแล้ว สิ่งทีเราสวดมนต์นอกเหนือจากนั้นคือ "อานิสงค์จากการสวดมนต์" หรือผลที่ได้รับจากการสวดมนต์ว่ามีอะไรอย่างไร
อานิสงส์การสวดมนต์ 15 ประการ
ผู้ที่สวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริงแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ คือผลความดี มากมายดังต่อไปนี้
1. ทำให้สุขภาพดี การสวดมนต์ออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เมื่อปอดทำงาน เลือดลมก็เดินสะดวก เมื่อเลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกระฉับกระเฉง
2. คลายความเครียด ขณะสวดมนต์จิตจดจ่ออยู่กับบทสวด สมองไม่ได้คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
3. เพิ่มพูนศรัทธาในพระรัตนตรัย บทสวดแต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เมื่อสวดบ่อย จิตก็จะยิ่งแนบแน่นอยู่กับพระรัตนตรัย
4. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะสวดต้องใช้ความอดทนเพื่อเอาชนะอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ตลอดถึงอารมณ์ฝ่ายต่ำทั้งหลายมีความเกียจคร้าน เป็นต้น ยิ่งสวดบ่อย ความอดทน ก็จะมีมากยิ่งขึ้น
5. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะสวดจิตจดจ่ออยู่กับบทสวด ไม่วอกแวกฟุ้งซ่านไปที่อื่นจึงทำให้จิตสงบและเกิดสมาธิมั่นคง
6. บุญบารมีเพิ่มพูน ในขณะสวดมนต์ จิตใจย่อมปราศจากกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงได้ชื่อว่าเกิดบุญบารมี บุญบารมีนี้ เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่เราต้องการ
7. จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาหลังจากสวดมนต์ เป็นการส่งความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธในใจให้เบาบางและลดน้อยลง ทำให้จิตใจปราศจากความโกรธ และพบแต่ความสุข
8. เกิดความเป็นสิริมงคล การสวดมนต์เป็นการทำความดีไปพร้อมกันทั้งทางกาย วาจา ใจ การทำดี พูดดี คิดดี ย่อมเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง
9. เทวดารักษา ผู้ที่ประกอบกรรมดี ทางกาย วาจา ใจ ย่อมเป็นที่รักของเหล่าเทวดา และการที่เราได้แผ่เมตตาให้แก่เทวดานั้น ก็ยิ่งจะเป็นที่รักของเทวดามากขึ้น
10. ปัญญาเกิด การสวดมนต์พร้อมคำแปล ทำให้ได้รู้และเข้าใจถึงความหมายของบทสวดนั้น
11. ผิวพรรณผ่องใสและมีเสน่ห์ การสวดมนต์ทำให้จิตใจของผู้สวดสดชื่นเบิกบาน จิตที่สดชื่นเบิกบานย่อมส่งผลให้ผิวพรรณดี หน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความรู้สึกเป็นมิตรรักใคร่เอ็นดู
12. ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้เป็นมิตรยิ่งรักใคร่
13. ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
14. ทำให้ดวงดี แก้ไขเคราะห์ร้าย ปัดเป่าเสนียดจัญไร เพราะดวงชะตาของคนเราขึ้นอยู่กับการกระทำ ใครทำดี ดวงชะตาย่อมดี ใครทำชั่ว ดวงชะตาก็ตก การสวดมนต์เป็นการทำดีที่สามารถเปลี่ยนดวงชะตาให้ดีขึ้นได้
15. ครอบครัวและสังคมสงบสุข ที่พ่อบ้าน แม่บ้าน สวดมนต์อยู่เป็นประจำ และสอนให้บุตรหลานได้สวดมนต์ จะไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง และการที่จะไปสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นก็ไม่มี มีแต่จะทำให้คนรอบข้างและสังคมอยู่เป็นสุข สงบ ร่มเย็น และยังเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่นอีกด้วย
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
คุณอภิชาติ สุริยวงศ์กุลการ
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลัง
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
คุณขนิษฐา ศักดิ์สุวรรณ
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลัง
ความรู้เกี่ยวกับ : คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานนั้น เขามีพฤติกรรมอะไรบ้าง
การทำงานในองค์กร พนักงานทุกคนจะต้องสร้างผลงานที่ดีให้กับองค์กร นอกจากผลงานที่ดีแล้ว พนักงานที่ดี ก็ต้องมีพฤติกรรมที่ดีด้วย โดยทั่วไปเวลาจะดูผลงานพนักงานก็มักจะดู 2.ด้าน ก็คือ.ด้านผลสำเร็จ ของตัวงานเอง และพฤติกรรมที่ดีของพนักงานซึ่งก็แล้วแต่ว่าองค์กรจะมีความเชื่อหรือค่านิยมในเรื่องเหล่านี้อย่างไร พนักงานแต่ละคนที่ทำงานในองค์กร ก็จะประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน
บางคนเป็นพนักงานที่มีความโดดเด่นมาก มีผลงานที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่ดี และทำงานอย่างมีความสุข ในทางกลับกันพนักงานบางคน แทบจะไม่มีเพื่อนเลย ผลงานก็ออกมาแบบไม่ดีนัก.การที่พนักงานคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้นั้นนอกจากจะมีความรู้ ทักษะ และความสามารถในการทำงานที่ตนเองรับผิดชอบแล้วจะต้องมีพฤติกรรมทั้ง.7.ประการเหล่านี้เป็นองค์ประกอบหลักที่จะส่งเสริมให้พนักงานประสบความสำเร็จในการทำงานในองค์กรได้ ซึ่งประกอบด้วย
•เป็นคนตรงต่อเวลา
พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมหลัก ลำดับแรกที่พนักงานที่จะประสบความสำเร็จพึงมีติดตัวไว้เสมอ คนที่มาทำงานตรงเวลา เข้าประชุมตรงเวลา เวลานัดหมายกับใครก็ตาม ก็ไปตรงเวลา หรือก่อนเวลา ซึ่งเรื่องของการตรงเวลาเป็นการที่เราให้เกียรติกับคนที่เรานัดหมายไว้ ซึ่งแน่นอน คนแบบนี้ย่อมจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่มาสายตลอดเวลาในทุกเรื่อง
•เป็นคนรักษาสัญญา
พฤติกรรมที่สองก็คือ คนที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้นั้นจะต้องเป็นคนที่รักษาคำพูด รักษาสัญญาพูดอะไรไว้หรือสัญญาอะไรกับใครไว้ไม่ว่าจะเป็นกับหัวหน้าเพื่อนร่วมงานหรือแม้กระทั่งลูกน้อง ของตนเองก็จะต้องรักษาคำพูดนั้นอย่างเคร่งครัดไม่ใช่พูดแล้วก็ทำเป็นลืมบ้างพยายามบ่ายเบี่ยงบ้าง แบบนี้เท่ากับว่าเราไม่รักษาคำพูดคนอื่นก็จะไม่เชื่อถือไม่ไว้ใจเรางานที่เราทำก็คงจะประสบความสำเร็จได้ยากขึ้นอีก
•ใช้เวลาขององค์กรในการทำงานให้องค์กร
พฤติกรรมนี้ถือเป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งที่คนทำงานที่ประสบความสำเร็จมีกัน.ก็คือการใช้เวลาขององค์กรเพื่อทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มที่ เนื่องจากเราได้รับเงินเดือนค่าจ้างจากทางองค์กร ถ้าพนักงานคนใดเอาเวลาทำงานขององค์กรไปทำอย่างอื่น ทำงานส่วนตัวบ้างหรือเล่นสนุกสนานไปตามอำเภอใจ ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ หัวหน้าเองก็คงไม่ชอบ ผู้บริหารก็ไม่ชอบเช่นกันความสำเร็จในการทำงานก็เกิดยากขึ้นอีก
•ใช้เงินและทรัพย์สินขององค์กรอย่างซื่อสัตย์
พนักงานที่รับผิดชอบทางด้านการเงินหรือมีการถือเงินขององค์กรอยู่หรือทำงานโดยอาศัยทรัพย์สิน ขององค์กร ก็จะต้องใช้เงินและทรัพย์สินขององค์กรไปในทางที่สุจริตไม่เอาเงินและทรัพย์สินองค์กรไปลงทุนหรือใช้ส่วนตัวแม้ว่าจะไม่มีปัญหาอะไรแต่พฤติกรรมแบบนี้คือพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นถึงการทุจริตต่อหน้าที่การงานของเราเอง
•เสนอตัวช่วยเหลือการทำงาน
พนักงานที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน มักจะเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นเวลาที่ตนเองทำงาน เสร็จแล้วและมีเวลาเหลืออยู่ก็เสนอตัวเองในการเข้าไปช่วยเหลือการทำงานของเพื่อนร่วมงานบ้างหรือช่วยหน่วยงานอื่นๆ บ้าง.โดยที่คนอื่นไม่ต้องร้องขออะไรและการช่วยเหลือนี้ก็เป็นการช่วยเหลืออย่างเต็มใจและใส่ใจพร้อมช่วยอย่างเต็มที่โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย
•รับโทรศัพท์ของเพื่อนโต๊ะข้างๆ บ้าง
พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ เวลาที่เพื่อนกำลังยุ่งหรือไม่อยู่โต๊ะ และมีโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะข้างๆ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ใจปล่อยให้มันดังไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเงียบไปเองแต่คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานนั้นจะไม่คิดแบบนั้นจะรีบไปช่วยรับโทรศัพท์นั้น และจะช่วยจดข้อความไว้ให้เพื่อที่จะได้ให้เพื่อนติดต่อกลับไปได้ ลักษณะนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเพื่อนเท่านั้นยังสามารถช่วยองค์กรของเราได้ด้วยเพราะเราอาจจะได้ความพึงพอใจของคนที่โทรเข้ามาซึ่งก็มีแต่ผลดีทั้งนั้น
•ตอบสนองต่อการทำงานในทันทีที่สามารถทำได้
ถ้ามีเรื่องงานติดต่อเข้ามาในช่องทางการสื่อสารต่างๆ เช่น อีเมล์ หรือโทรศัพท์ และเราไม่สามารถรับได้ หรือติดธุระอะไรอยู่ก็ตาม เมื่อไหร่ที่เรามีเวลาเราจะต้องรีบโทรกลับหรือติดต่อกลับให้เร็วที่สุด
ทั้ง.7.พฤติกรรมข้างต้นไม่ได้เป็นพฤติกรรมที่ยากในการประพฤติปฏิบัติแต่ละพฤติกรรมข้างต้นล้วนแต่เป็นพฤติกรรมที่ให้เกียรติต่อบุคคลอื่นที่เราต้องทำงานด้วยทั้งสิ้น.ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน.หัวหน้า.ลูกน้อง หรือแม้แต่ตัวองค์กรของเราที่เราทำงานให้และพฤติกรรมที่เราให้เกียรติต่อคนอื่นนี้เองที่จะทำให้คนอื่นก็ให้เกียรติเราและยอมรับนับถือเรามีความเชื่อมั่นในตัวเรามากขึ้น.ผลสุดท้ายความสำเร็จในหน้าที่การงานก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางณัฐฌา วณิชย์รุจี
นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางเพ็ญประภา พนิชการ
นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
ความรู้เกี่ยวกับ :7 อาหารฮิต เสี่ยงโรค !
สำนักงานคลังเขต 1
7 อาหารฮิต เสี่ยงโรค !
ปัจจุบันนี้อาหารมีให้เลือกมากมาย แต่อาหารยอดฮิตที่เรารับประทานเป็นประจำนั้น บางชนิดนั้นกลับเสี่ยงต่อโรค ซึ่งอาหารเสี่ยงโรคยอดฮิตมีดังนี้
อาหารเสี่ยงโรค 1 เครื่องดื่มรสหวานต่างๆ เช่น กาแฟเย็น ชาเย็น ชาเขียวนมสด ฯลฯ
ในน้ำหวานประกอบไปด้วยน้ำตาลปริมาณมาก อีกทั้งยังมีแคลอรี่ที่สูง ยกตัวอย่าง เช่น กาแฟเย็นแก้วหนึ่ง มีแคลอรี่เฉลี่ยอยู่ที่ 97-400 กิโลแคลอรี่ โดยเป็นไขมัน 0.4-22.1 กรัม โปรตีน 0.6-10.9 กรัมคาร์โบไฮเดรต 14.4-49.4 กรัม เป็นส่วนที่เป็นน้ำตาล 11-38 กรัม หรือประมาณ 3-10 ช้อนชา
(ข้อมูลจาก สสส. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) อีกทั้งองค์การอนามัยโลกยังแนะนำไว้ว่าไม่ควรบริโภคน้ำตาลจากอาหารทุกชนิดเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน (ข้อมูลจากแฟนเพจ
“ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์”) คอลัมนิสต์ชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูง
มีความเสี่ยงทำให้สมองพัฒนาช้าลง เนื่องจากในกาแฟมีสารคาเฟอีนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้เกิดความเสี่ยง (ข้อมูลจาก : มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์)
อาหารเสี่ยงโรค 2 น้ำอัดลม
ในน้ำอัดลมประกอบไปด้วย น้ำ,น้ำตาล,คาเฟอีน,วัตถุกันเสีย, กรดคาร์บอนิก, กรดฟอสฟอริก,สี กลิ่น สี และรส อีกทั้งในน้ำอัดลม1 กระป๋อง (325 มิลลิลิตร) ยังมีน้ำตาลในปริมาณที่สูงมากถึง 38 กรัม หรือประมาณกว่า 7 ช้อนชาเลยทีเดียว
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคเบาหวาน
โรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคอ้วน
โรคความดันสูง
โรคมะเร็ง (ผลสำรวจพฤติกรรมของนักวิจัยของสถาบันคาโรลินสกา ประเทศสวีเดน)
โรคกระเพาะ (คนเป็นโรคกระเพาะควรหลีกเลี่ยง)
อาหารเสี่ยงโรค 3 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประกอบไปด้วยเส้นที่ทำมาจากแป้งสาลี หรือแป้งชนิดอื่นๆ และมาพร้อมเครื่องปรุง ซึ่งประกอบไปด้วยผงชูรสเลยทำให้ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีโซเดียมสูงมาก หากร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินความจำเป็น จะทำให้เกิดอาการอ้วนบวมน้ำ แถมยังเป็นอันตรายต่อไต อีกทั้งยังทำให้ขาดสารอาหารอีกด้วย แต่ถ้าใครเกิดนึกอยากรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาทางที่ดีควรใส่ผัก ไข่และเนื้อสัตว์ ลงไปด้วย อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการเพิ่มสารอาหารหรือนำมาดัดแปลงเป็นเมนูใหม่อย่าง ยำมาม่า ต้มยำมาม่า ฯลฯ นอกจากนี้แล้วนั้นทางกระทรวงสาธารณะสุขแนะนำมาว่าไม่ควรรับประทานมากเกินวันละ 1 ซอง เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคหัวใจ
โรคไต
โรคความดันโลหิตสูง
โรคขาดสารอาหารเพราะมีสารอาหารไม่ครบถ้วน
อาหารเสี่ยงโรค 4 อาหารปิ้งย่าง อาทิ หมูปิ้ง ไก่ปิ้ง ตับปิ้ง ฯลฯ
ในอาหารปิ้งย่างนั้นมีฤทธิ์ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเพราะมีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนและสารเฮทเทอโรโซ คลิกเอมีน ซึ่งสารนี้จะเกิดจากการเผาไหม้โปรตีน ทั้งนี้ในวารสาร Food Journal (ข้อมูลจากhttp://www.jr-rsu.net) ยังได้ระบุอีกด้วยว่า ข้าวเหนียวครึ่งทัพพีมีพลังงาน 80 กิโลแคลอรี่ หมูปิ้ง 1 ไม้คิดเป็น 130 แคลอรี่ โดยส่วนใหญ่คนจะนิยมรับประทานประมาณ 3 ไม้ ต่อ 1 คน ซึ่งคิดเป็นพลังงาน 470 กิโลแคลอรี่ ซึ่งมีแคลอรี่ใกล้เคียงกับข้าวมันไก่ที่มีแคลอรี่ 457 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคมะเร็ง
โรคอ้วน
อาหารเสี่ยงโรค 5 ขนมขบเคี้ยว ขนมกรุบกรอบ
ไม่ว่าจะเป็น ขนมถุง,ลูกอม,หมากฝรั่ง,ช็อกโกแลต ฯลฯ ซึ่งขนมขบเคี้ยวบางชนิดจะประกอบไปด้วยน้ำตาล ไขมันที่ค่อนข้างสูง ยิ่งในขนมกรุบกรอบด้วยแล้วนั้นส่วนใหญ่จะทำมาจากแป้ง มีไขมันปริมาณสูง อีกทั้งยังพ่วงโซเดียมจากผงชูรสที่เกิดจากการแต่งรสแต่งกลิ่นอีกด้วย
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคไต
โรคความดันโลหิตสูง
โรคอ้วน
อาหารเสี่ยงโรค 6 ขนมปังหรือเบเกอรี่ขัดขาวต่างๆ อาทิ เค้ก คุกกี้ ปาท่องโก๋ เบเกอรี่ต่างๆ
ขนมปังหรือเบเกอรี่ขัดขาวต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็น คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ประกอบไปด้วยแป้งซึ่คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ทันทีหลังจากที่เรารับประทานเข้าไป ทั้งนี้จึงทำให้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างรวดเร็ว ทางที่ดีหากอยากรับประทานขนมปัง หรือเบเกอรี่ต่าง ๆ ควรหันมาทานแบบคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนหรือแป้งที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดขาวอย่าง ขนมปังโฮลวีต,คุกกี้ข้าวโอ๊ต ฯลฯ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าไม่น้อย
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคเบาหวาน
โรคอ้วน
โรคหัวใจ
อาหารเสี่ยงโรค 7 อาหารฟาสต์ฟู้ด
ไม่ว่าจะเป็นแฮมเบอร์เกอร์, เฟรนช์ฟรายส์ และอื่นๆ อาหารประเภทนี้มีปริมาณแป้ง ไขมัน และน้ำตาลสูง หากรับประทานเป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ตามมาได้
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคอ้วน
โรคไขมันในเลือดสุง
โรคหัวใจขาดเลือด
โรคซึมเศร้า (ผลการสำรวจของนักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยตะวันออกของฟินแลนด์)
เสี่ยงต่อการทำลายตับ (ข้อมูลจาก รายการโทรทัศน์"the doctors" ที่ออกอากาศในหลายประเทศ)