โครงการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ชาวกรมบัญชีกลาง
(CoP : Community of Practice)
กิจกรรม : พักเบรคปันความรู้ของหน่วยงานภายในกรมบัญชีกลาง
(CGD Coffee Talk)
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖
ความรู้ที่แบ่งปัน : ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะพอ
?
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางวรุณกาญจน์ รวยอารีย์
ตำแหน่ง :
นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วงาน
สำนักบริหารการรับ-จ่ายเงินภาครัฐ
การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจะทำให้สุขภาพดี-ช่วยลดความอ้วนจริงไหม?
แท้จริงแล้วการดื่มน้ำมากเกินจำเป็นส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ หากถามนักแสดงหรือนางแบบว่าเคล็ดลับความงามคืออะไร
หนึ่งในสิ่งที่เหล่าคนดังจะแนะนำให้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ คือ ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
เพราะจะทำให้สุขภาพดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย
การขาดน้ำจากการไดเอ็ทเป็นสาเหตุแห่งอาการท้องผูก แต่ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเป็นการ
“ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ” ซึ่งเรามักจะได้ยินกันว่าต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8
แก้วต่อวัน ถ้าดื่มไม่ได้ตามเป้า
นอกจากจะเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักเกินหรือผิวหนังเหี่ยวย่นแล้ว
ยังทำให้สมองสูญเสียน้ำ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการตั้งสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
จากคำเตือนให้ดื่มน้ำมากๆ
นี้ส่งผลให้ขวดน้ำขายได้มากเป็นหนึ่งเท่าตัวในประเทศอังกฤษช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
และขวดน้ำก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่คนอังกฤษส่วนใหญ่มักจะพกติดตัวออกนอกบ้าน
สำคัญพอๆ กับกระเป๋าสตางค์และกุญแจบ้าน
อย่างไรก็ตาม
แม้การขาดน้ำอาจทำให้ร่างกายได้รับความเสียหาย แต่การได้รับน้ำมากเกินไปก็เป็นอันตรายต่อร่ายกายเช่นกัน
หากร่างกายได้รับน้ำมากเกินไปจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ
“ไฮโปแนทรีเมีย” ซึ่งเป็นอาการที่เกลือในร่างกายลดลง ทำให้สมองเต็มไปด้วยน้ำ
ซึ่งนำไปสู่อาการชักและเสียชีวิตในที่สุด แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป
อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าการดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารจะช่วยลดน้ำหนัก
หรือการที่ร่างกายสูญเสียน้ำเล็กน้อยจะเป็นสาเหตุแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วย
แล้วดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเพียงพอ ?
ความต้องการน้ำของร่างกายแตกต่างกันไปในแต่ละคน
และแตกต่างกันไปในแต่ละวันอีกด้วย กลุ่มที่ต้องการน้ำมากที่สุด คือ
เด็กและผู้สูงวัย ส่วนผู้ใหญ่ต้องการน้ำวันละ 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักร่างกาย 1
กิโลกรัม เช่น ถ้าน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ร่างกายก็จะต้องการน้ำวันละประมาณ 1 ลิตร
แต่ไม่ต้องดื่มน้ำให้ครบตามจำนวนที่คำนวณก็ได้เพราะในอาหาร ผักและผลไม้ที่รับประทานก็มีน้ำเช่นกัน
นอกจากนี้การดื่มชา กาแฟ น้ำส้มหรือแม้แต่น้ำอัดลมก็ช่วยเติมน้ำให้ร่างกาย
หลายคนอาจนึกว่าการกระหายน้ำเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำ
ที่จริงแล้วแค่เป็นตัวบอกว่าระดับน้ำในร่างกายน้อยลงเท่านั้น ยังไม่เป็นอันตราย
ไม่ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อชดเชย แต่ถ้าป่วยต้องดื่มน้ำเยอะๆ
เพราะร่างกายจะขจัดความร้อนด้วยการสร้างเหงื่อ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ
จึงต้องการน้ำมากกว่าปกติประมาณ 500 มิลลิลิตรต่ออุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น 1
องศาเซลเซียส ซึ่งในสภาพอากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมาก
ก็ต้องชดเชยน้ำให้ร่างกายด้วย
วิธีสังเกตว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่
ดูได้จากสีของปัสสาวะที่ต้องใส ไม่มีสีและปัสสาวะประมาณ 3-4
ครั้งต่อวันแสดงว่าร่างกายปกติดี แต่หากปัสสาวะมีสีเข้มและปัสสาวะน้อยกว่าวันละ 3
ครั้ง ให้ดื่มน้ำมากๆ เพราะแสดงว่าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น