วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โครงการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ชาวกรมบัญชีกลาง (CoP : Community of Practice)
กิจกรรม : พักเบรคปันความรู้ของหน่วยงานภายในกรมบัญชีกลาง (CGD Coffee Talk)
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖
ความรู้ที่แบ่งปัน  :  ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะพอ ?
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางวรุณกาญจน์  รวยอารีย์
ตำแหน่ง นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วงาน สำนักบริหารการรับ-จ่ายเงินภาครัฐ

การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจะทำให้สุขภาพดี-ช่วยลดความอ้วนจริงไหม? แท้จริงแล้วการดื่มน้ำมากเกินจำเป็นส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ หากถามนักแสดงหรือนางแบบว่าเคล็ดลับความงามคืออะไร หนึ่งในสิ่งที่เหล่าคนดังจะแนะนำให้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ คือ ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เพราะจะทำให้สุขภาพดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย  การขาดน้ำจากการไดเอ็ทเป็นสาเหตุแห่งอาการท้องผูก แต่ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเป็นการ “ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ” ซึ่งเรามักจะได้ยินกันว่าต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ถ้าดื่มไม่ได้ตามเป้า นอกจากจะเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักเกินหรือผิวหนังเหี่ยวย่นแล้ว ยังทำให้สมองสูญเสียน้ำ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการตั้งสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
                   จากคำเตือนให้ดื่มน้ำมากๆ นี้ส่งผลให้ขวดน้ำขายได้มากเป็นหนึ่งเท่าตัวในประเทศอังกฤษช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และขวดน้ำก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่คนอังกฤษส่วนใหญ่มักจะพกติดตัวออกนอกบ้าน สำคัญพอๆ กับกระเป๋าสตางค์และกุญแจบ้าน
                   อย่างไรก็ตาม แม้การขาดน้ำอาจทำให้ร่างกายได้รับความเสียหาย แต่การได้รับน้ำมากเกินไปก็เป็นอันตรายต่อร่ายกายเช่นกัน
                   หากร่างกายได้รับน้ำมากเกินไปจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ “ไฮโปแนทรีเมีย” ซึ่งเป็นอาการที่เกลือในร่างกายลดลง ทำให้สมองเต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งนำไปสู่อาการชักและเสียชีวิตในที่สุด แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ
                   นอกจากนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าการดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารจะช่วยลดน้ำหนัก หรือการที่ร่างกายสูญเสียน้ำเล็กน้อยจะเป็นสาเหตุแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วย

แล้วดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเพียงพอ ?
            ความต้องการน้ำของร่างกายแตกต่างกันไปในแต่ละคน และแตกต่างกันไปในแต่ละวันอีกด้วย กลุ่มที่ต้องการน้ำมากที่สุด คือ เด็กและผู้สูงวัย ส่วนผู้ใหญ่ต้องการน้ำวันละ 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม เช่น ถ้าน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ร่างกายก็จะต้องการน้ำวันละประมาณ 1 ลิตร แต่ไม่ต้องดื่มน้ำให้ครบตามจำนวนที่คำนวณก็ได้เพราะในอาหาร ผักและผลไม้ที่รับประทานก็มีน้ำเช่นกัน นอกจากนี้การดื่มชา กาแฟ น้ำส้มหรือแม้แต่น้ำอัดลมก็ช่วยเติมน้ำให้ร่างกาย
            หลายคนอาจนึกว่าการกระหายน้ำเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำ ที่จริงแล้วแค่เป็นตัวบอกว่าระดับน้ำในร่างกายน้อยลงเท่านั้น ยังไม่เป็นอันตราย ไม่ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อชดเชย แต่ถ้าป่วยต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพราะร่างกายจะขจัดความร้อนด้วยการสร้างเหงื่อ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ จึงต้องการน้ำมากกว่าปกติประมาณ 500 มิลลิลิตรต่ออุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส ซึ่งในสภาพอากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมาก ก็ต้องชดเชยน้ำให้ร่างกายด้วย

            วิธีสังเกตว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่ ดูได้จากสีของปัสสาวะที่ต้องใส ไม่มีสีและปัสสาวะประมาณ 3-4 ครั้งต่อวันแสดงว่าร่างกายปกติดี แต่หากปัสสาวะมีสีเข้มและปัสสาวะน้อยกว่าวันละ 3 ครั้ง ให้ดื่มน้ำมากๆ เพราะแสดงว่าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น