วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การคิดเชิงวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์

ความรู้เกี่ยวกับ: แนวทางการนำเสนองานเพื่อสอบแข่งขัน
โดย : ว่าที่ ร.อ.ภวัต  ปั้นบำรุงกิตน์
หน่วยงานสำนักงานคลังเขต 6

ตามที่สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการคลังและบัญชีภาครัฐมอบหมายให้ข้าราชการผู้มีศักยภาพสูง(Talent)ของกรมบัญชีกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตร ก้าวกระโดดด้วยนวัตกรรมด้วยระบบคิดอย่างสร้างสรรค์และทรงพลัง ในวันที่ 26 กันยายน 2556 ณ โรงแรมแกรนด์ทาวเวอร์ อินน์ ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร  นั้น
และจากที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว ข้าพเจ้ามีโอกาสได้รับความรู้และประสบการณ์จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผศ.ดร.ชลวิทย์ เจียรจิตต์ (คณบดี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)  ซึ่งพอจะประมวลองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ ดังนี้
หลักสูตรดังกล่าวดำเนินการในลักษณะการบรรยายและฝึกปฏิบัติ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่
การคิดเชิงวิพากษ์
การคิดเชิงสร้างสรรค์
เทคนิคการสร้างความคิดเชิงกลยุทธ์ในการทำงาน และ
การนำความคิดก้าวสู่นวัตกรรม
โดยจากการเข้ารับการฝึกอบรม ทำให้คณะข้าราชการผู้มีศักยภาพสูง (Talent) ของกรมบัญชีกลาง มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงวิพากษ์การคิดเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งเทคนิคการสร้างความคิดเชิงกลยุทธ์ในการทำงานและการนำความคิดก้าวสู่นวัตกรรม อันจะนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทั้งนี้การที่เราจะสามารถสร้างสรรค์ภารกิจใดๆ ได้นั้น  ผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องมี IQ และ EQ ที่เหมาะสม  โดยเราสามารถตรวจสอบ EQ ของตัวเราเองได้  ผ่านการทดสอบการอ่านค่าสีอย่างง่าย (รายละเอียดตาม PowerPoint ที่แนบ)  ในขณะเดียวกันเราสามารถพัฒนา EQ ได้ด้วยวิธีการดังนี้
1. เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์
2. เล่นลูกบอล
3. ลดระดับเสียงการรับฟังจากโทรทัศน์
4. ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด
5. หัดเล่นเครื่องดนตรีชนิดใหม่ๆ
6. ฝึกจดจำเนื้อเพลง
7. ฝึกโฟกัสสายตา
8. ทำกิจกรรมเงียบๆ คนเดียวบ้าง

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ขี้เกียจอ่านหนังสือทำอย่างไรดี




ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง) นายธีรภัทร ภูมี    ตำแหน่ง :  นิติกรปฏิบัติการ
ความรู้เกี่ยวกับ  : ขี้เกียจอ่านหนังสือทำอย่างไรดี
หน่วยงาน สำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ


การเพิ่มพูนความรู้ด้วยการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการสอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเก็บคะแนน หรือเลื่อนชั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเรียน แต่หลายคนก็พ่ายแพ้ให้กับความขี้เกียจของตัวเอง ขี้เกียจอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียน เพราะไม่ว่าจะจับหนังสือครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พาให้เบื่อหรือเผลอหลับไป ดังนั้นในวันนี้กระปุกดอทคอม จึงขอนำวิธีสร้างแรงบันดาลใจ และวิธีเอาชนะความขี้เกียจ มาฝากกัน
๑. คิดถึงภาพความสำเร็จ
การอ่านหนังสือเป็นแหล่งความรู้และจุดเริ่มต้นของอนาคต หากความรู้ความเข้าใจความฝันที่หวังเอาไว้คงไม่วันเป็นจริงได้ ฉะนั้นเมื่อรู้สึกขี้เกียจคิดถึงภาพอนาคตและความสำเร็จของตัวเองเอาไว้ แล้วจะมีกำลังใจในการอ่านหนังสือมากขึ้น อีกทั้งควรท่องเอาไว้ว่าสิ่งเหล่านี้สร้างขึ้นได้ด้วยสมองสองมือของเราเอง ไม่ใช่ได้มาจากความโชคดีแต่อย่างใด
๒. คิดถึงคนรอบข้าง
ถ้าได้คะแนนหรือเกรดไม่ดี ไม่ใช่แค่ตัวเราที่เสียใจเท่านั้น คนรอบ ๆ ตัวโดยเฉพาะพ่อแม่ก็รู้สึกไม่ต่างกัน และอาจจะเสียใจมากกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นในวันที่ขี้เกียจไม่อยากอ่านหนังสือควรคิดถึงรอยยิ้มและความสุขของพ่อแม่เอาไว้ หากไม่อยากให้พวกเขาต้องเสียใจเริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า
 ๓. ติวหนังสือกับเพื่อน ๆ
อ่านหนังสือคนเดียวคงรู้สึกเหงาไม่น้อย อีกทั้งยังอาจเผลอหลับได้ง่าย ๆ ดังนั้นใครที่รู้ว่าตัวเองมีนิสัยแบบนี้ลองชวนเพื่อน ๆ มาติวหนังสือด้วยกันซะเลยดีกว่า เพื่อทำให้บรรยากาศในการอ่านหนังสือน่าสนใจ และทำให้ตัวเองอยากอ่านหนังสือมากขึ้น โดยเฉพาะในเวลาที่เห็นเพื่อน ๆ ก้มหน้าก้มตาอ่านกัน หลังจากที่อ่านเสร็จแล้ว ผลัดกันถามตอบจะช่วยให้จำได้แม่นยำขึ้น
๔. ผ่อนคลายก่อนอ่านหนังสือ
สมองที่เหนื่อยล้าและร่างกายที่อ่อนเพลียมีส่วนทำให้รู้สึกขี้เกียจได้เช่นกัน ฉะนั้นก่อนอ่านหนังสือสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองด้วยการทำตามใจตัวเองสักวัน อย่างเช่น ออกไปช้อปปิ้ง  เที่ยวกับเพื่อน ทานข้าวกับครอบครัว ซื้อขนมหวานอร่อย ๆ มาทานสักชิ้นสองชิ้น เพื่อให้สมองและร่างกายได้พักผ่อนจากความตึงเครียดทั้งหลาย และเรียกพลังสำหรับการอ่านหนังสือกลับคืนมา
๕. อ่านเรื่องที่สนใจก่อน
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความขี้เกียจนั่นเป็นเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เรียนยากและคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงหากตั้งใจเรียนไม่มีอะไรเกินความสามารถ ดังนั้นลองถามตัวเองก่อนว่าสนใจ และชอบเรื่องใดเป็นพิเศษบ้าง แล้วเริ่มต้นการอ่านจากบทเรียนหรือวิชานั้น เพราะความชอบและความสนใจจะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายและทำได้ดี ทั้งนี้เพื่อสร้างกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับตัวเองก่อนจะเปลี่ยนไปอ่านวิชาที่ไม่ถนัด
๖. เขียนตารางเวลาอ่านหนังสือ
ความขี้เกียจจะทำให้ผัดวันประกันพรุ่งและเลื่อนเวลาอ่านหนังสือไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเปลี่ยนวิธีเสียใหม่ โดยเขียนตารางเวลาสำหรับอ่านหนังสือในแต่ละวันอย่างน้อย  2 - 3 ชั่วโมง พร้อมกับเวลาพักช่วงละ 5 - 10 นาที เพื่อบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือเป็นนิสัย ช่วงแรก ๆ อาจจะต้องอดทนกันเล็กน้อย แต่หากผ่านเวลานี้ไปได้ความขี้เกียจคงไม่กลับมาแล้วล่ะ อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังนิสัยการอ่านหนังสือให้กับตัวเองด้วย
 ๗. ตัดขาดจากโลกออนไลน์
พวกเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างเช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป หรือแท็บเล็ตควรลดเวลาในการเล่น หรืองดไปเลย เพราะสิ่งเหล่านี้จะดึงความสนใจของเราไป และทำให้ขี้เกียจอ่านหนังสือมากขึ้น ฉะนั้นเก็บอุปกรณ์เหล่านี้เอาไว้ใช้ หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงสอบไปแล้วดีกว่า
๘. ตามรอยไอดอล
เหล่าไอดอลต่างไม่ว่าจะเป็นศิลปินในประเทศหรือต่างประเทศ หากย้อนกลับไปดูประวัติของพวกเขาจะเห็นว่าที่มาไม่ธรรมดาจริง ๆ เพราะบางคนต้องสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ส่วนบางคนจำเป็นต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ซึ่งเหนื่อยกว่าคนทั่วไปแต่พวกเขาสามารถทำได้ ฉะนั้นหากชอบใครรักใคร อย่ายึดแค่หน้าตาภายนอกอย่างเดียว เอาความขยันของพวกเขาเหล่านั้น มาสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองด้วยดีกว่า
๙. เปลี่ยนหนังสือให้เป็นเพลง
แค่เปิดเจอหนังสือไปเจอตัวหนังสือเรียงกันเป็นหน้า ๆ ยิ่งทำให้ความขี้เกียจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ฉะนั้นเปลี่ยนวิธีเป็นการจับใจความสำคัญของเนื้อหาแต่ละบท รวมเข้ากับทำนองจังหวะดนตรีที่ชอบ เท่านี้ได้เพลงเอาไว้ร้องเพลิน ๆ แก้อาการเบื่อกับความขี้เกียจได้แล้ว อีกทั้งยังช่วยให้จำได้ดีกว่าการท่องจำแบบธรรมดาเยอะเลย
๑๐. ปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน
ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแต่ละวันมีส่วนที่สร้างความขี้เกียจได้เช่นกัน โดยเฉพาะนิสัยกินกับนอนเพียงอย่างเดียว ทั้งสองนิสัยที่กล่าวมานี้นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว ยังทำให้ขาดความกระปรี้กระเปร่าด้วย ฉะนั้นควรจะเพิ่มกิจกรรมให้ชีวิตน่าสนใจขึ้นบ้างด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อกระตุ้นความสดชื่นให้กับร่างกาย และสร้างพลังงานเอาไว้อ่านหนังสือ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ปรับปรุงใหม่



ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
ความรู้เกี่ยวกับ  : อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ปรับปรุงใหม่
โดย : นางสาววิชญาพร ภาณุศานต์
กลุ่มงานอนุมัติพิเศษ สำนักกฎหมาย

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาโดยมาสถานะเป็น บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง และรัฐวิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เมื่อมีเงินได้เกิดขึ้นแล้วผู้มีหน้าที่เสียภาษีจะต้องขอมีเลข และบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีเงินได้เกิดขึ้น กรณีเป็นผู้มีเงินได้ที่ไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ได้แก่ เป็นคนต่างด้าว หรือกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง เว้นแต่ ผู้มีเงินได้ ที่มีเลขประจำตัวประชาชนสามารถใช้เลขประจำตัวประชาชนแทนเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรได้ โดยไม่ต้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอีก การยื่นแบบแสดงรายการปกติปีละ 1 ครั้ง เงินได้ของปีใด ก็ยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป เว้นแต่เงินได้บางลักษณะ เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา
เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ เป็นต้น ที่ต้องยื่นแบบฯ ตอนกลางปี สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นใน 6 เดือนแรก ภายในเดือนกันยายน ของทุกปี ตามกฎหมายเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้แก่ เงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ซึ่งอาจคำนวณได้เป็นเงิน ที่ได้รับจริง เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้ เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด โดยใช้เกณฑ์เงินสดในการคำนวณ
ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นในระหว่างปีภาษีมีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ ก็ต่อเมื่อมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าเมื่อคำนวณแล้วจะมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม โดย ผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง ที่ได้รับในปีภาษีนั้น (ตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ) กรณีไม่มีคู่สมรสต้องมีเงินได้พึงประเมินเกิน 50,000 บาท กรณีที่มีคู่สมรสไม่ว่าฝ่ายเดียว หรือทั้งสองฝ่าย ต้องมีเงินได้พึงประเมินรวมกันเกิน 100,000 บาท สำหรับผู้มีเงินได้จากการทำธุรกิจทั่วไปที่มิใช่เกิดจากการจ้างแรงงาน กรณีไม่มีคู่สมรสต้องมีเงินได้พึงประเมินเกิน 30,000 บาท กรณีมีคู่สมรสไม่ว่าฝ่ายเดียว หรือทั้งสองฝ่าย ต้องมีเงินได้พึงประเมินรวมกันเกิน 60,000 บาท สำหรับกองมรดกของผู้ตายที่ยังไม่ได้แบ่ง และห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลเกิน 30,000 บาท
กรมสรรพากรได้มีการประกาศลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2556 และ 2557 ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 575) พ.ศ.2556 กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้

หมายเหตุ:- เงินได้สุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 150,000 บาท ยังคงได้รับยกเว้น ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551

เงินได้สุทธิ
ช่วงเงินได้สุทธิ
แต่ละขั้น
อัตราภาษี
ร้อยละ
ภาษีแต่ละขั้น
เงินได้สุทธิ
ภาษีสะสม
สูงสุดของขั้น
1 – 150,000
150,000
ได้รับยกเว้น
-
-
150,001 – 300,000
150,000
5
7,500
7,500
300,001 – 500,000
200,000
10
20,000
27,500
500,001 – 750,000
250,000
15
37,500
65,000
750,001 – 1,000,000
250,000
20
50,000
115,000
1,000,001 – 2,000,000
1,000,000
25
250,000
365,000
2,000,001 – 4,000,000
2,000,000
30
600,000
965,000
4,000,001 บาทขึ้นไป
-
35
-
-

8 วิธีคลายเครียด ทันใจ




ความรู้เกี่ยวกับ  : วิธีคลายเครียด ทันใจ
โดย : นางสาวนันทวัน แสนบัวคำ ตำแหน่ง :  นิติกรปฏิบัติการ
หน่วยงาน   สำนักกฎหมาย

8 วิธี คลายเครียด ทันใจ
อย่าปล่อยให้ชีวิตต้องจมอยู่กับความเครียด จากการทำงาน อันเร่งรีบและเรียกร้อง ลองใช้วิธีการต่อไปนี้
ที่ได้ชื่อว่าช่วยในการ คลายเครียด ให้คุณได้อย่าง ทันใจ เสมอ
1. จดบันทึก การจดบันทึกมีประโยชน์หลายอย่าง เป็นทั้งการทบทวนตัวเอง ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการสำรวจถึงทางออกที่เป็นไปได้ต่อปัญหาเหล่านี้ สามารถช่วยคุณในการย่อยสลายอารมณ์ความรู้สึกอันยากลำบากต่างๆ และเป็นหนทางในต่อสู้กับความเครียดในอนาคต
2. การทำสมาธิ มีหลายวิธีในการทำสมาธิ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดก็ตาม การฝึกทำสมาธิสามารถ
ลดความเครียดได้อย่างมหาศาล และต่อสู้กับปฏิกิริยาในแง่ลบจากความเครียด และเมื่อคุณผ่อนคลาย คำตอบของปัญหาที่ทำให้คุณเครียดก็จะมาถึงคุณเองในแบบที่ง่ายดายและชัดเจน
3. พูดกับเพื่อน การพูดสิ่งต่างๆ ออกมากับเพื่อนสามารถกระจายอารมณ์และความตึงเครียดของคุณออกมาได้ และช่วยคุณให้รู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในปัญหาของตัวเอง และเพื่อนอาจถามคำถามที่สอดรู้
สอดเห็นบางอย่าง ซึ่งจะทำให้คุณคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองในแบบที่แตกต่างออกไป
4. การพูดกับตัวเอง การพูดกับตัวเองในแง่ลบสามารถทำให้เกิดความเครียดได้มากกว่าที่คนส่วนใหญ่จะรู้ตัว เราหมายถึงเสียงเล็กๆ ในหัวของคุณที่ประเมินสิ่งต่างๆในแง่บวกหรือแง่ลบ และบอกคุณเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่คุณพบอยู่ และเกี่ยวกับตัวคุณเอง ลองเปลี่ยนจากการพูดกับตัวเองในแง่ลบ มาเป็นการพูดถึงตัวเองในแง่ดี มันอาจต้องใช้การสำรวจตัวเองเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเลือกคำพูดที่จะใช้กับตัวเอง แต่ผลที่ได้รับก็คือ ความรู้สึกมั่นใจ และความเครียดที่ผ่อนคลายลง
5. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังทำงานมากเกินไปและเครียดเกินไป มันอาจถึงเวลาที่คุณจะเรียนรู้วิธีที่จะบอกปฏิเสธกับผู้คนที่เรียกร้องเวลาจากคุณ การปฏิเสธจะทำให้คุณรู้สึกว่ามีอำนาจมากขึ้น และคุณสามารถป้องกันไม่ให้ชีวิตยุ่งเหยิงเกินไป จนวงจรความเครียดดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง คุณสามารถมองเข้าไปในตัวเองเพื่อดูว่าทำไมคุณจึงไม่เคยปฏิเสธใคร และใช้วิธีการใหม่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
6. ฝึกการหายใจ การหายใจเข้าลึกๆ เป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ง่ายดาย และมีประโยชน์อย่างมากมายต่อร่างกาย รวมถึงการเติมออกซิเจนในเลือด ที่ช่วยปลุกสมองให้ตื่นตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและทำให้จิตใจความคิดสงบ การฝึกหัดหายใจสามารถทำได้ทุกหนทุกแห่ง และได้ผลอย่างรวดเร็วจนคุณสามารถ คลายเครียดได้ในพริบตา
7. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ด้วยการเกร็งและคลายกลุ่มกล้ามเนื้อทั้งหลายในร่างกายคุณสามารถผ่อนคลาย ความตึงเครียด และรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่ต้องมีการฝึกฝนหรือเครื่องมือพิเศษใดๆ เริ่มด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งหมดบนใบหน้า แยกเขี้ยวและยิ้มค้างไว้ 10 วินาทีแล้วผ่อนคลาย 10 วินาที ทำซ้ำกับกล้ามเนื้อคอ ตามด้วยไหล่และกล้ามเนื้ออื่นๆ คุณสามารถทำแบบนี้ทีไหนก็ได้ และขณะที่คุณทำ คุณจะพบว่าตัวเองผ่อนคลายได้เร็วกว่าและง่ายกว่า
8. การออกกำลัง คนจำนวนมากออกกำลังเพื่อควบคุมน้ำหนักและเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี แต่การออกกำลังกับการจัดการความเครียดก็มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การออกกำลังทำให้เราหันเหความสนใจไปจากสถานการณ์อันตึงเครียด เช่นเดียวกับเป็นทางออกของความหงุดหงิดคับข้องใจ และทำให้คุณชื่นบานด้วยการหลั่งของเอ็นโดรฟิน

กาแฟสูตรอันตราย




ความรู้เกี่ยวกับ  : กาแฟสูตรอันตราย
โดย :  นายกุลเศขร์  ลิมปิยากร

                   หน่วยงาน  กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร

กาแฟสูตรอันตราย
ผมเป็นอีกคนที่ชอบดื่มกาแฟ แต่ปัจจุบันกาแฟที่มีให้เลือกซื้อหาได้ทั้งข้างถนนและร้านหรูดูดี แต่การดื่มกาแฟ
มากเกินไปจะทำให้ได้รับสารคาเฟอีนมากจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ดื่ม เช่น อาการ “ใจสั่น” ซึ่งเป็นอาการกระวนกระวายที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับคาเฟอีนมากเกินไป กาแฟยังเพิ่มความดันโลหิตให้กับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง กาแฟทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับในบางคนแต่ในทางกลับกันก็ช่วยให้บางคนหลับได้ดีขึ้น นอกจากนี้มันยังอาจทำให้เกิดความกังวลและอาการหงุดหงิดง่ายให้กับบางคนที่ดื่มมากเกินไป และบางคนก็เกิดอาการทางประสาทและยังลดความสามารถในการมีบุตรของสตรีและยังอาจเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเกิดภาวะกระดูกพรุนของผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน รวมทั้งยังอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์หากแม่ดื่มตั้งแต่ 8 ถ้วยต่อวันขึ้นไป
การดื่มกาแฟของสาวๆ ที่คิดจะลดความอ้วนจากการดื่มกาแฟสารพัดสูตรที่อ้างสรรพคุณโน่นนี่ โดยมักพบว่ามีการโฆษณาขายผ่านอินเทอร์เน็ต มีข่าวให้เห็นว่าตำรวจบุกทลายแหล่งเก็บและจำหน่ายกาแฟสูตรผสมไวอะกร้า ใครเป็นลูกค้าต้องสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
อันตรายจากกาแฟ
หลักๆ คือ คาเฟอีน (Caffeine) ซึ่งเป็นสารที่ได้จากพืชที่นำมาใช้ทำเครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ หรืออาจใช้เป็นตัวยาสำคัญโดยเฉพาะยาแก้ปวดผลกระทบต่อระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่เกิดจากคาเฟอีนสรุปได้ดังนี้
•ขับปัสสาวะมากขึ้น
•กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
•กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
•ผ่อนคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเรียบ
•กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
•เพิ่มระดับกรดไขมันอิสระและน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด
คาเฟอีนเป็นตัวยาชนิดหนึ่งที่มีการออกฤทธิ์ทางยาต่อระบบสมองส่วนกลางซึ่ง คุณลักษณะดังกล่าวทำให้คาเฟอีนถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันในรูปของ เครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ โกโก้ และเครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ จนกระทั่งยาประเภท
แก้ปวดลดไข้ ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับคาเฟอีนอยู่ที่ปริมาณรวมของคาเฟอีนที่เราได้รับเข้าไปในแต่ละวันถ้าบริโภคมากเกินก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นจึงควรระวังในการใช้ให้มากอาจเป็นอันตรายต่อการบริโภค เนื่องจากสารดังกล่าวมีผลข้างเคียงสูงได้แก่ ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับและท้องผูก เป็นต้น
นอกจากคาเฟอีนแล้วปัจจุบันมีตัวอย่างให้เห็นหลายรายที่ซื้อกาแฟที่โอ้อวดสรรพคุณในการลดความอ้วน แต่เมื่อดื่มไปนานๆ กลับส่งผลร้ายกับระบบทางเดินอาหารจนถึงขั้นเสียชีวิตก็มีมาแล้ว ให้ลองสังเกตดูว่ากาแฟที่กินอยู่ผสมสาร
“ไซบูทรามีน” หรือไม่ซึ่งกาแฟกลุ่มนี้จะอวดอ้างสรรพคุณเรื่องรูปร่างดี เมื่อกินเข้าไปเริ่มแรกจะมีอาการใจสั่นหวิวๆ รู้สึก
ไม่สบายคล้ายจะเป็นลม ตามมาด้วยไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1 - 2 แก้ว ซึ่งอาการ
ใจสั่นจะรุนแรงกว่าการกินกาแฟทั่วๆ ไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที และส่งตัวอย่างกาแฟให้ อย. เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป ส่วนการกินกาแฟเพื่อลดความอ้วนนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความรู้ว่า ตัวกาแฟไม่สามารถ
ลดความอ้วนได้อยู่แล้ว ฉะนั้นหากมีการอวดอ้างสรรพคุณลดความอ้วนจะต้องมีการผสมสารบางอย่างลงไป และสำหรับการ
ลดความอ้วนที่จำเป็นต้องใช้ยา จะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งการดูแลของแพทย์เท่านั้น หลักในการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน จะต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องวันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 3 วัน และปรับพฤติกรรมการกินอาหาร ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักผลไม้ที่รสไม่หวาน กินให้ครบ 5 หมู่ กินแต่พอเพียง ซึ่งจะเป็นการลดความอ้วนตามหลักการแพทย์ที่ถูกต้อง

32 ข้อ ประเมินตนเองว่า “ตื่นรู้” มากแค่ไหน


ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวปัทมา  บัวกล่ำ
ตำแหน่ง   : นักวิชาการคลัง
ความรู้เกี่ยวกับ  :  32 ข้อ ประเมินตนเองว่า “ตื่นรู้” มากแค่ไหน  
โดย               :   กองแผนงาน
ข้อคิดดี ๆ จาก ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ที่อยากนำมาให้แต่ละคนได้คิดและประเมินตนเอง เป็น checklist ง่าย ๆ  Key Behavior Indicators  :- 
๑) มีแนวโน้มที่จะสดใสขึ้น  ใจว่างๆ  โล่งๆ (ใจดี หรือดีใจ  ไม่เหมือนใจโล่งๆ นะ)  ไม่อมทุกข์  ไม่หน้าบึ้ง
๒) มีแนวโน้มที่จะยิ้มง่ายขึ้น  ยิ้มให้คนอื่นก่อน  ไม่ต้องรอให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน
๓) มีแนวโน้มที่จะไหว้คนอื่นได้ก่อน  ไม่มีข้อแม้ว่า  ใครต้องไหว้ใครก่อน
๔) มีแนวโน้มที่จะถ่อมตน  ไม่เจ้ายศ  ไม่เจ้าอย่าง  ง่ายๆ ติดดิน
๕) มีแนวโน้มที่จะรับผิดชอบงานมากขึ้น  ไม่อ้าง  ไม่หนี  อดทน  ยอม
๖) มีแนวโน้มที่จะมีเมตตามากขึ้น  ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล
๗) เมื่อได้ยินเรื่องราวใดๆ  ก็มีแนวโน้มที่จะดู  สังเกตมากกว่าที่จะด่วนวิจารณ์  ด่วนออกอาการ  ด่วนออกอารมณ์  แม้จะโดนด่า  โดนเข้าใจผิดก็ยังอดทน  ควบคุมตนเองได้ง่ายๆ  ปล่อยๆ  ไม่เอาเรื่อง  ไม่เอาก็ได้
๘) มีแนวโน้มที่จะเปิดโอกาสผู้อื่นพูดมากขึ้น  ฟังมากขึ้น  ไม่ด่วน “สวนกลับ”  ไม่ด่วน “หักคอ”  ไม่ด่วนสรุป  ไม่ด่วนฟันธง  ไม่แทรกแซงขณะคนอื่นกำลังพูด  อัตราการเต้นของหัวใจปกติ  ไม่ตูมตาม  เมื่อโดนคนอื่นว่า
๙) มีแนวโน้มที่จะยอมรับ  เปิดใจ  ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้  รับฟังอีกมุมมองได้
๑๐) มีแนวโน้มที่จะขยันๆ  และ “กล้า” ลงมือทำในเรื่องที่ดี  เป็นกุศลต่างๆ ทันที  โดยไม่มีข้อแม้  ไม่เอาเรื่องในอดีตมาทำให้สะดุดในการที่จะทำ  ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาหยุดตนเอง  ทำตามเป้าหมายได้  ไม่วอกแวก  รู้จัก focus
๑๑) มีแนวโน้มที่จะหันไปกตัญญูพ่อแม่   ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณมากขึ้น  ครูเก่า  เจ้านายที่เคยช่วยสอน  ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ
๑๒) มีแนวโน้มที่สัตว์เลี้ยงต่างๆ จะเดินเข้ามาหา  เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้  บรรดาสัตว์ในธรรมชาติ เขาจะรับรู้
๑๓) มีแนวโน้มที่จะไม่เมาบุญ  ทำได้ก็ทำ  ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
๑๔ ) มีแนวโน้มที่จะ “ให้” บริจาค  จิตอาสา  ทำเพื่อส่วนรวมมากขึ้น
๑๕) มีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ  รู้สึกว่าผู้คนกับตัวเองเป็นเนื้อเดียวกัน  ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม
๑๖) มีแนวโน้มที่จะคบบัณฑิต  
๑๗) มีแนวโน้มที่จะห่างไกลคนพาล  อบายมุข
๑๘) มีแนวโน้มที่จะรักษาศีล ๕ มากๆ  ไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ขโมย  ไม่ผิดกาม  ไม่โกหกหลอกลวง  ไม่ทานของมึนเมา
๑๙) มีแนวโน้มที่จะชื่นชม (Appreciation) ผู้คน  ยินดีที่คนอื่นได้ดี  หรือมีมุทิตานั่นเอง
๒๐) มีแนวโน้มที่จะไม่นินทาใคร  ไม่ทำให้ใครแตกแยก  ชวนให้คนสามัคคีกัน
๒๑) มีแนวโน้มที่จะไม่กังวล  หลับสบาย  หลับง่าย
๒๒) มีแนวโน้มที่จะไม่ฝันร้าย 
๒๓) มีแนวโน้มที่จะฝันดี  ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น  มีความสุข
๒๔)  มีแนวโน้มที่จะนึกอะไร  อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล   
๒๕)  มีแนวโน้มที่จะยอมคน  เช่น  ยอมให้แซงคิว  ยอมให้เอาเปรียบ  ยอมให้ต่อว่า  ฯลฯ
๒๖) มีแนวโน้มที่จะไม่ด่วน “ประเมิน”  ตัดสิน  ตัดเกรด  แบ่งแยก  พิพากษา (judgement)  ผู้คน  ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน  ดูมากขึ้น  เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง
๒๗) มีแนวโน้มที่จะรักผู้คนแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional love)  ไม่หวังผล  ให้ก็คือให้  ไม่มีข้อแม้น  ไม่อิจฉา ไม่ริษยา
๒๘) มีแนวโน้มที่จะรู้จักสติที่ฐานกาย  ใช้ “กายรู้กาย” ได้มากขึ้น  นานขึ้น  ต่อเนื่อง  รู้ทุกก้าว ทุกอิริยาบท
๒๙) มีแนวโน้มที่จะ “จับ” ความรู้สึกที่ “ใจ” ของตนเองได้  รู้ว่าใจกุศล  อกุศล
๓๐) มีแนวโน้มที่จะ “แยกแยะ” จิตกับความคิดได้  รู้จักความคิดจร (ความคิดนอกแผน  ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด  ความคิดฟุ้งซ่าน  ออกนอกทาง ฯลฯ)     
๓๑) มีแนวโน้มที่จะกลับไปอ่านหนังสือธรรมะแล้วเข้าที่ “ใจ”มากขึ้น  ร้อง “อ๋อ” มากขึ้น
๓๒) ไม่กลัวตาย  สิ้นข้อสงสัย  และไม่งมงายในศีลภายนอก
   

11 วิธีง่าย ๆ ช่วยให้เรามีความจำที่ดีขึ้น



                                     
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาววาลีรัตน์  จตุรภัทร์มานนท์  นักวิชาการคลัง
ความรู้ที่แบ่งปัน : 11 วิธีง่าย ๆ ช่วยให้เรามีความจำที่ดีขึ้น”

เคยหรือไม่ ที่รู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างขี้ลืมจริง ๆ จนอยากที่จะหาวิธีที่ช่วยให้จำสิ่งต่าง ๆ ได้แม่นยำขึ้น รวมทั้งในบางครั้ง เราก็อยากที่จะจำเนื้อหาต่าง ๆ ที่จำเป็นให้ได้มาก ๆ หากว่าเราเคยพบกับสิ่งเหล่านี้มาแล้ว วันนี้ขอนำเคล็ดลับง่าย ๆ 11 ประการ จาก theweek.com ที่จะช่วยทำให้เรามีความจำที่ดีขึ้น มาฝากให้ทุก ๆ คนได้นำไปทดลองดู
1. ครุ่นคิดถึงสิ่งนั้น ๆ อย่างน้อย 8 วินาที
ในทุกวันนี้เรามักจะคิดถึงสิ่งต่างในสมองอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการที่เราจดจ่อ ครุ่นคิดถึงสิ่ง ๆ หนึ่งที่ต้องการจดจำเป็นเวลาอย่างน้อย 8 วินาที จะทำให้สมาธิของเราวนเวียนอยู่กับสิ่งนั้น ๆ ซึ่งจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ช่วงเวลา 8 วินาทีนั้น ก็คือเวลาขั้นต่ำสุดที่สมองของเราจะย้ายข้อมูลหนึ่ง ๆ จากส่วนความจำระยะสั้น ไปเก็บไว้ยังส่วนความจำระยะยาว
2. เลี่ยงการเดินผ่านประตู
เคยไหมเมื่อเราเดินเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง แล้วก็เกิดลืมอย่างกะทันหันว่าจะเข้ามาทำอะไรในห้อง ซึ่งจริง ๆ แล้ว สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะการเดินผ่านประตูนั้นมีแนวโน้มที่จะทำให้หัวของเราว่างเปล่า โดยจากการทดลองโดยให้ผู้เข้ารับการทดลองนำวัตถุสิ่งหนึ่งเข้าไปวางในห้องแล้วเดินออกมา เมื่อเราถามเขาทันทีที่ก้าวพ้นประตู พบว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะลืมไปแล้วว่าวัตถุนั้นคืออะไร มากกว่ากลุ่มคนที่เดินออกจากวัตถุในระยะทางเท่ากัน แต่ยังอยู่ภายในห้องนั้น ดังนั้นจึงเชื่อว่าการเดินเข้าสู่สถานที่แห่งใหม่นั้น จะมีลักษณะเหมือนการรีสตาร์ทสมองของเรานั่นเอง 
3. ใช้มือข้างที่ถนัดในการทำสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างแรก
หากเรามีปัญหาในการจดจำสิ่งต่าง ๆ ในการทำงานนั้น การทำให้ร่างกายของเราจดจำสิ่งนั้น ๆ ได้ก่อน จะช่วยพัฒนาความสามารถในการเรียกคืนข้อมูลของเราได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากการศึกษาได้พบว่า 
หากเราเป็นคนถนัดขวา เรามักจะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือขวาเป็นอันดับแรกก่อนที่เราจะจดจำสิ่งเหล่านั้น ซึ่งหากเราต้องการที่จะระลึกสิ่งต่าง ๆ ได้ ให้ลองใช้มือซ้ายของเราจับต้องสิ่งเหล่านั้นสักพัก ราว 45 วินาที เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกบีบอัดอยู่ในหัวค่อย ๆ ไหลออกมา
4. ออกกำลังกาย
นักวิทยาศาสตร์มองว่าการออกกำลังกายเป็นหนทางออกสำหรับทุกปัญหา ซึ่งรวมถึงปัญหาในด้านความจำ เพราะการลงมือกระทำทางกายภาพจะเพิ่มความตื่นตัว และเพิ่มออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมอง ซึ่งอาจช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์ในสมองส่วนที่ตอบสนองต่อความทรงจำ โดยจากการศึกษาพบว่า หลังจากการออกกำลังกายเบา ๆ จะทำให้ผู้หญิงสามารถจำจดสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้หญิงที่ออกกำลังกายมาตลอดช่วง 6 เดือนนั้น จะมีการพัฒนาความจำในส่วนของภาษาและสภาพแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
5. การนอนหลับ
นักเรียนที่อยู่ในช่วงมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยส่วนมาก มักจะใช้เวลาทั้งคืนก่อนสอบใหญ่ไปกับการเคร่งเครียดอ่านหนังสือจนถึงวินาทีสุดท้าย โดยที่พวกเขาอาจจะไม่ทราบว่าแท้จริงแล้ว การนอนให้พอตลอดทั้งคืนนั้นย่อมให้ผลที่ดีกว่าการอ่านหนังสือจนถึงเช้า เพราะจากการศึกษาพบว่า ในขณะที่เราหลับ สมองของเราจะมีกระบวนการประมวลผลความคิดต่าง ๆ ที่ระดมเข้ามา เพื่อละทิ้งข้อมูลที่ไม่สำคัญ และช่วยเพื่อการจดจำข้อมูลที่สำคัญขึ้นเป็น 2 เท่า เช่นเนื้อหาในการสอบวันรุ่งขึ้นของเรา และรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นลงไปในส่วนความจำระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่สมองไม่สามารถทำได้หากเราฝืนตื่นอ่านหนังสือจนถึงเช้า
6. ใช้แบบอักษรประหลาด ๆ
ในหนังสือเรียน หนังสือพิมพ์ หรือตามอินเทอร์เน็ต ผู้คนมักจะทำให้ข้อความต่าง ๆ ดูโดดเด่นและง่ายต่อการอ่านด้วยการเพิ่มขนาดตัวอักษรและทำตัวหนา ขณะที่นักวิจัยกลับพบว่า ที่จริงแล้วตัวอักษรใหญ่ ๆ และตัวหนานั้นกลับจะทำลายความสามารถในการจำของเรา ขณะที่การใช้แบบตัวอักษรแปลก ๆ นั้น เป็นหนทางที่จะช่วยทำให้เราจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้ดีที่สุด เพราะมันอ่านยากกว่า และต่างไปจากความเคยชิน ทำให้เราถูกบังคับให้จดจ่ออยู่กับคำที่เขียนด้วยแบบอักษรแปลก ๆ นั้น จนสามารถจำมันง่ายขึ้น
7. เคี้ยวหมากฝรั่ง
เชื่อหรือไม่ว่า หมากฝรั่งช่วยทำให้เราจดจำข้อมูลภาษาและเสียงได้ดีขึ้น เมื่อเราเคี้ยวหมากฝรั่งไปพร้อม ๆ กับการพยายามจดจำข้อมูลต่าง ๆ เพราะการเคี้ยวนั้นช่วยทำให้เรามุ่งเป้ามายังสิ่งที่เราต้องการจะจำมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เหมาะสำหรับการจำสิ่งที่ต้องการเวลาจดจำนาน ราว 30 นาที ขณะที่การจดจำระยะสั้น การไม่เคี้ยวหมากฝรั่งจะให้ผลดีกว่า 
8. เขียนสิ่งที่ต้องทำด้วยมือ
ขณะที่ทุกวันนี้คนมักจะนิยมการบันทึกข้อมูลทุกอย่างไว้ในโทรศัพท์ หรือในคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่เบอร์โทรศัพท์ นัดหมายสำคัญ หรือแม้แต่สิ่งที่ต้องทำ เราจึงไม่รู้ตัวเลยว่าเราแทบจะจดจำข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้สักอย่างเดียว ดังนั้นหากเราต้องการจดจำข้อมูลใด ๆ นั้น ขอแนะนำให้เขียนสิ่งเหล่านั้นใส่กระดาษด้วยลายมือของเราเอง ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่เคยกลับมาอ่านสิ่งที่เขียนไว้เลย แต่จากการศึกษาก็ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า การที่เราลงมือเขียนข้อมูลบางอย่างนั้น จะช่วยให้เราจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้ดีขึ้นอย่างแท้จริง
9. เลี่ยงการเปิดเพลงขณะเรียนหรือทำงาน
คงมีหลายคนที่ชอบการเปิดเพลงฟังขณะที่กำลังอ่านหนังสือเรียน หรือในขณะที่กำลังทำงาน เพราะคิดว่าจะช่วยทำให้จำเนื้อหาที่อยู่ตรงหน้าได้ดีขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว นักวิจัยพบว่าการรับฟังเสียงรบกวนใด ๆ รวมทั้งการฟังเพลงนั้น จะทำให้เราไขว้เขวจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และจะทำให้หวนนึกถึงสิ่งที่เราอ่านไปได้น้อยลงในเวลาต่อมา เพราะเสียงเหล่านั้นทำให้เราเสียสมาธิได้ไม่ต่างจากการที่มีคนมาตะโกนข้างหูตลอดเวลา สำหรับคนที่เคยชินกับการฟังเพลงขณะอ่านหนังสือ เราอาจจะรู้สึกแปลก ๆ บ้างหากต้องนั่งอ่านหนังสือท่ามกลางความเงียบสงบ แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันแล้วว่า ในจะให้ผลที่ดีในระยะยาวอย่างแน่นอน
10. จินตนาการ
การใช้จินตนาการมาช่วยสร้างความจดจำนั้น เป็น 1 ในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจำบางสิ่งบางอย่าง เพราะเป็นการที่เรานำข้อมูลต่าง ๆ มาเชื่อมโยงกับภาพที่เรามองเห็น ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการเรียกข้อมูลขนาดใหญ่ซึ่งถูกเรานำมาเชื่อมโยงเป็นภาพที่มองเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนในสมองของเรา
11. วาดรูปเล่นแก้เบื่อ

หากเรากำลังนั่งเบื่ออยู่ภายในห้องเรียนหรือระหว่างการประชุม ลองหยิบดินสอมาวาดรูปเล็ก ๆ บนเอกสารของเราดูสิ แม้ว่าการวาดรูปเล่นนั้นจะดูเหมือนเราไม่ให้ความสนใจต่อการเรียนหรือการประชุมตรงหน้า แต่เชื่อหรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วการที่เราแอบวาดรูปเล่นนั้นเป็นการทำให้สมองของเรามีการทำงาน ขณะที่การนั่งฟังเฉย ๆ ความเบื่อจะทำให้สมาธิของเราหลุดออกจากเนื้อหาที่ได้ฟังไปในที่สุด จนทำให้จดจำข้อมูลเหล่านั้นได้น้อยกว่าคนที่นั่งวาดรูปเล่นเสียอีก ดังจะเห็นได้จากการทดลองที่ให้คนกลุ่มหนึ่งวาดรูปเล่นขณะนั่นฟังเทปการสนทนาที่น่าเบื่อ ขณะที่คนอีกกลุ่มไม่วาด พบว่า กลุ่มที่วาดรูปเล่นสามารถจำเนื้อหาได้มากถึง 29% ซึ่งมากกว่าอีกกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด

รายงานผลดำเนินการเกี่ยวกับงานค้างและรายละเอียดงานค้าง

ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)  
นางสาวณิชาภา นาคประเสริฐ สำนักความรับผิดทางแพ่ง
เจ้าพนักงานธุรการส.3

รายงานผลดำเนินการเกี่ยวกับงานค้างและรายละเอียดงานค้าง

1. รายงานสถิติงานค้างของสำนักความรับผิดทางแพ่ง
2. รายละเอียดประกอบ - สรุปรายงานผลการดำเนินงาน (เฉพาะลำดับที่ ๑ ตรวจสำนวน)
3. สรุปรายงานผลการดำเนินงาน
4.  ค่าเฉลี่ยคำนวณจากผลรวมของงานแต่ละเดือน

ขั้นตอนการทำรายงานผลดำเนินการเกี่ยวกับงานค้างและรายละเอียดงานค้าง
1. รายงานสถิติงานค้างของสำนักความรับผิดทางแพ่ง
รวบรวมสถิติงานค้างของแต่ละกลุ่มงานของสำนักความรับผิดทางแพ่งมีทั้งหมด 6 กลุ่มงานแยกออกมาเป็น
1. หนังสือสั่งการ/หนังสือเวียน
2. การอนุมัติ/อนุญาต (สั่งจ่ายบำเหน็จบำนาญ)
    2.1 สำนวนละเมิด
    2.2 อนุมัติ/อนุญาต (อื่น)
3. เสนอความเห็น ครม.
4. ตอบข้อหารือ
5. ร้องเรียน
6. หมายศาล
7. แต่งตั้งผู้แทน
8. อื่นๆ
2. รายละเอียดประกอบ  - สรุปรายงานผลการดำเนินงาน (เฉพาะลำดับที่ ๑ ตรวจสำนวน)
แยกประเภทของงานเฉพาะตรวจสำนวนแล้วรวมยอดสรุปรายงานผลการดำเนินงานเฉพาะสำนวน
3. สรุปรายงานผลการดำเนินงาน
แยกประเภทของงาน เป็น 13 หัวข้อ ดังนี้
1. ตรวจสำนวน
2. งานด้านคดีในศาลปกครอง
3. ตอบข้อหารือ
4. พิจารณาการผ่อนชำระ
5. พิจารณาการตัดบัญชีลูกหนี้
6. พิจารณาอุทธรณ์/ฎีกา/ประนีประนอม/คดีแพ่ง
7. ตรวจสอบการจำหน่ายพัสดุ
8. ตรวจสอบคำนวณการชดใช้ตามสัญญาลาศึกษา
9. ติดตามผลดำเนินการสืบหาหลักทรัพย์
10. พิจารณายุติการชดใช้
11. พิจารณาเรื่องอื่นๆ
12. เรื่องเพื่อทราบ
13. ติดตามเรื่องและเร่งรัดหนี้สิน
4. ค่าเฉลี่ยคำนวณจากผลรวมของงานแต่ละเดือน
ค่าเฉลี่ยคำนวณจากผลรวมของงานออกงานรอเข้ากก.,งานรอแจ้งผลและงานรอขอข้อมูลหารด้วยจำนวนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งนิติกรทั้งหมด