วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑




ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)                              
คุณ อุบล  เชาว์พ้อง
ตำแหน่ง :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)                  
คุณ ชุลีพร  ถาวรพัทธ์
ตำแหน่ง : เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน

ความรู้ที่แบ่งปัน:หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑

หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๓ ที่พักของแต่ละส่วนราชการจะกำหนดให้เป็นที่พักสำหรับข้าราชการใดให้พิจารณา     ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งความประหยัดและประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ และสามารถกำหนดวิธีปฏิบัติ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
๑.เมื่อผู้มีอำนาจจัดที่พักของแต่ละส่วนราชการได้จัดที่พักให้แก่ข้าราชการ  ผู้ดำรงตำแหน่ง
ประเภททั่วไป ระดับอาวุโสขึ้นไป ประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษขึ้นไปประเภทอำนวยการ ประเภทบริหาร หรือดำรงตำแหน่งระดับ ๗ ขึ้นไป หรือเทียบเท่า หรือข้าราชการทหาร ซึ่งมียศพันโท นาวาโท นาวาอากาศโทขึ้นไป หรือข้าราชการตำรวจซึ่งมียศพันตำรวจโทขึ้นไป หรือข้าราชการตุลาการและข้าราชการอัยการทุกระดับชั้น เข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการแล้ว ข้าราชการผู้นั้นจะต้องเข้าพักอาศัยไม่ว่าจะเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านหรือไม่ 
๒.ที่พักของแต่ละส่วนราชการนอกจากที่พักตาม (1) ให้จัดข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่ง 
ประเภททั่วไป ระดับชำนาญงานลงมา ประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการลงมา หรือดำรงตำแหน่งระดับ ๖ ลงมา หรือเทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันตรี  นาวาตรี นาวาอากาศตรีลงมา หรือข้าราชการตำรวจซึ่งมียศ พันตำรวจตรีลงมา และเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านเข้าพักอาศัยไม่ว่าข้าราชการผู้นั้นกำลังใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านอยู่หรือไม่ก็ตาม 
๓.ในการจัดที่พักตาม (2) หากข้าราชการผู้ใดมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านและได้ใช้สิทธินำหลักฐาน
การชำระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการในท้องที่ที่ปฏิบัติราชการอยู่ก่อนแล้ว ตามมาตรา 17 หรือมาตรา 18 แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ผู้ที่มีอำนาจจัดที่พักในท้องที่นั้นไม่ต้องจัดข้าราชการผู้นั้นเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการ แม้ต่อมาข้าราชการรายดังกล่าวได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานใหม่ ซึ่งอยู่ในท้องที่เดียวกัน ก็ไม่ต้องจัดข้าราชการผู้นั้นเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการเช่นกัน ทั้งนี้ หากข้าราชการรายดังกล่าว ถูกจัดเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการก่อนวันที่หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัตินี้ ใช้บังคับ ผู้มีอำนาจจัดที่พักไม่ต้องจัดให้ออกจากที่พักของทางราชการ 
๔.ที่พักของแต่ละส่วนราชการนอกจากที่พักตาม (2) ให้ผู้มีอำนาจจัดที่พักสามารถจัด
ข้าราชการที่บรรจุเข้ารับราชการครั้งแรกและเดือดร้อนในเรื่องที่อยู่อาศัยเข้าพักอาศัยในที่พักของ     ทางราชการได้ โดยการกำหนดระยะเวลาเข้าอยู่อาศัยให้อยู่ในดุลพินิจของส่วนราชการและต้องบริหารเงินงบประมาณที่ได้รับให้อยู่ภายในวงเงินที่ได้รับจัดสรรด้วย 
กรณีที่มีการใช้ดุลพินิจจัดข้าราชการที่บรรจุเข้ารับราชการครั้งแรกเข้าพักอาศัย ในที่พักทางราชการแล้วกระทบต่อเงินงบประมาณที่ส่วนราชการมีอยู่ ก็สามารถจัดให้ออกจากที่พักของทางราชการได้ 
๕.ที่พักของแต่ละส่วนราชการตาม (๔) หากจัดตามหลักเกณฑ์ข้างต้นแล้วยังคงมีเหลือว่างอยู่ ผู้มีอำนาจจัดที่พักให้ข้าราชการผู้ที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านเข้าพักได้เป็นการชั่วคราว
๖.กรณีที่พักของทางราชการมีไม่เพียงพอสำหรับผู้มีสิทธิ หรือกรณีที่ข้าราชการที่มีสิทธิเบิก ค่าเช่าบ้านย้ายมาใหม่ไม่สามารถเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการได้ เนื่องจากผู้ไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้เข้าพักอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ผู้มีอำนาจจัดที่พักต้องดำเนินการจัดให้ผู้ไม่มีสิทธิออกจากที่พักของทางราชการและจัดให้ผู้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเข้าอยู่อาศัยในที่พักของทางราชการแทนโดยเร็ว
ข้อ ๔ ข้าราชการที่เคยสละสิทธิการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการ หากต่อมาข้าราชการดังกล่าวร้องขอเข้าพักขณะที่ที่พักของทางราชการว่างลง หรือได้ที่พักมาใหม่ เนื่องจากมีความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย ผู้มีอำนาจจัดที่พักอาจพิจารณาจัดให้ข้าราชการดังกล่าวเข้าพักในที่พักของทางราชการได้
ข้อ ๕ ข้าราชการที่ไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเนื่องจากผู้มีอำนาจจัดที่พักได้จัดที่พักให้แล้วแต่สละสิทธิการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการ หากต่อมาที่พักของทางราชการนั้นถูกรื้อถอนไปทั้งหมด ให้ถือว่าข้าราชการผู้นั้นไม่มีที่พักของทางราชการจัดให้
ข้อ ๖ กรณีที่พักของทางราชการว่างลง แต่มีสภาพชำรุด ทรุดโทรม มีลักษณะไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้เข้าพักอาศัย หรือมีเหตุสุดวิสัย  เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือมีเหตุอื่นใดอันเป็นเหตุให้ไม่สามารถเข้าอยู่อาศัยได้ ผู้มีอำนาจจัดที่พักไม่ต้องจัดให้ข้าราชการเข้าพักจนกว่าจะซ่อมแซมที่พักให้แล้วเสร็จ หรือเหตุสุดวิสัยนั้นได้รับการแก้ไข หรือบรรเทาจนสามารถเข้าอยู่อาศัยได้
ข้อ ๗ ให้ผู้มีอำนาจจัดที่พักจัดให้มีทะเบียนคุมการจัดข้าราชการเข้าและออกในที่พักของ      ทางราชการตามแบบที่หน่วยงานกำหนดทุกครั้ง และให้มีการมอบทะเบียนควบคุมให้แก่ผู้มีอำนาจจัด ที่พักคนต่อไปทุกครั้งที่พ้นตำแหน่งหน้าที่
ข้อ ๘ ในกรณีข้าราชการได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการในลักษณะประจำต่างสำนักเบิกเงินเดือน หรือต่างสำนักงานในท้องที่เดียวกัน ให้หัวหน้าส่วนราชการประจำสำนักงานเป็นผู้มีอำนาจจัดข้าราชการดังกล่าวเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการตามหลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัตินี้
ข้อ ๙ กรณีที่หน่วยงานใดจัดให้ข้าราชการผู้ซึ่งไม่มีสิทธิ เข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการก่อนวันประกาศใช้หลักเกณฑ์นี้ ให้ข้าราชการผู้นั้นมีสิทธิอยู่อาศัยในที่พัก จนกว่าจะมีการย้ายหรือพ้น
จากตำแหน่งหน้าที่ในหน่วยงานนั้น
ข้อ 10 ในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการครั้งแรก ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัตินี้ หากหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเห็นว่ามีความจำเป็นและไม่เสียหายแก่   ทางราชการ อาจใช้ดุลพินิจจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการเสียใหม่ โดยข้าราชการ ซึ่งเดิมถูกจัดเข้าพักในที่พักของทางราชการไม่ว่าจะเข้าพักหรือสละสิทธิการเข้าพักอาศัยก็ตาม หากข้าราชการดังกล่าวไม่ถูกจัดเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการในครั้งใหม่ก็จะถือว่าทางราชการไม่ได้จัดที่พักอาศัยให้อีกต่อไป ทั้งนี้ นับแต่วันที่ได้มีการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการครั้งใหม่

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมื่อเกษียณอายุราชการแล้วจะได้รับอะไรบ้าง





ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางพูนทรัพย์  บวรนีรนาถ   
ตำแหน่ง :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางนวลจันทร์  วงศ์ทศพร
ตำแหน่ง :  เจ้าพนักงานการคลังชำนาญงาน
สำนักมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ

ความรู้ที่แบ่งปัน : เมื่อเกษียณอายุราชการแล้วจะได้รับอะไรบ้าง

เรื่องประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของข้าราชการเมื่อเกษียณอายุราชการ ขอแยกอธิบายเป็น 2 ประเภท คือ
1) ผู้เป็นสมาชิก กบข.
2) ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข
 
กรณีผู้เป็นสมาชิก กบข. และเลือกรับบำนาญรายเดือน คือ ผู้ที่ยังไม่ต้องการตัดขาดจากระบบราชการยังประสงค์จะเป็นข้าราชการบำนาญและรัฐยังอุดหนุนจุนเจือในด้านสวัสดิการต่างๆ อยู่ต่อไป เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร สำหรับประโยชน์ที่ได้ คือ
1. เงินก้อนจาก กบข. ประกอบด้วย เงินชดเชย เงินประเดิม เงินสะสม เงินสมทบ และเงินจากผลประโยชน์ตอบแทน เงินส่วนนี้เป็นเงินก้อนใหญ่ก้อนแรกที่ทาง กบข. จัดให้ ท่านสามารถดูยอดเงินก้อนนี้ได้จากใบแจ้งยอดของ กบข. ที่แจ้งมาให้ทราบในทุกสิ้นปีพร้อมกับหลักฐานเพื่อลดหย่อนภาษีประจำปีของท่าน
2. เงินบำนาญรายเดือน คำนวณโดยการนำเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย คูณด้วยอายุราชการ และหารด้วย 50 แต่ต้องไม่เกิน 70 % ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
ตัวอย่าง เช่น  ท่านมีเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายเท่ากับ 30,000 บาท และอายุราชการ 35 ปี คำนวณได้ ดังนี้  = 30,000 x 35   = 21,000
                         50
** เงินบำนาญที่จะได้รับต้องไม่เกิน 70% ของเงินเดือน และอายุราชการต้องไม่เกิน 35 ปี กรณีอายุราชการเกิน 35 ปี จะคิดให้แค่ 35 ปี เท่านั้น **
3. เงินบำเหน็จดำรงชีพ ท่านจะได้รับบำเหน็จดำรงชีพ 15 เท่า ของบำนาญรายเดือน แต่ไม่เกิน 400,000 บาท โดยแบ่งจ่าย 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปลดเกษียณได้รับไม่เกิน 200,000 บาท และครั้งที่ 2 จะได้รับส่วนที่เหลือตามสิทธิเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์
จากกรณีที่ยกตัวอย่างข้างต้น ท่านได้รับบำนาญรายเดือนๆ ละ 21,000 บาท ได้รับบำเหน็จดำรงชีพ 15 เท่า ของ 21,000 บาท เป็นเงิน 315,000 บาท จ่ายเมื่อปลดเกษียณ 200,000 บาท และเมื่ออายุครบ 65 ปี จะจ่ายส่วนที่เหลือให้อีก 115,000 บาท
4. เงินบำเหน็จตกทอด จะจ่ายให้เมื่อผู้รับบำนาญถึงแก่กรรม โดยจะจ่ายบำเหน็จตกทอด 30 เท่า ของบำนาญรายเดือนให้แก่ทายาทตามกฎหมาย ได้แก่ บิดา มารดา คู่สมรส และบุตร
จากกรณีตัวอย่าง บำนาญรายเดือน 21,000 บาท คูณ 30 เท่า = 630,000 บาท หักบำเหน็จดำรงชีพส่วนที่ได้รับไปแล้ว 315,000 บาท ดังนั้น ทายาทจะได้รับบำเหน็จตกทอด จำนวน 315,000 บาท (คำนวณได้เท่าไรก็รับไปทั้งหมดโดยไม่แบ่งจ่าย) กรณีไม่มีทายาทตามกฎหมายดังกล่าว จะจ่ายเงินบำเหน็จตกทอดให้กับผู้ที่ ผู้ถึงแก่กรรมได้แสดงเจตนาระบุตัวผู้รับบำเหน็จตกทอดไว้

กรณีผู้เป็นสมาชิก กบข. และเลือกรับบำเหน็จ คือ ผู้ที่ต้องการรับเงินก้อนไปในคราวเดียว โดยประโยชน์  ที่จะได้รับ คือ
1. เงินก้อนจาก กบข. ประกอบด้วย เงินสะสม เงินสมทบ และเงินจากผลประโยชน์ตอบแทน เงินส่วนนี้เป็นเงินก้อนใหญ่ก้อนแรกที่ทาง กบข. จัดให้ โดยสามารถดูยอดเงินก้อนนี้ได้จากใบแจ้งยอดของ กบข.   ที่แจ้งมาให้ทราบในทุกสิ้นปี พร้อมกับหลักฐานเพื่อลดหย่อนภาษีประจำปี
2.  เงินบําเหน็จ คํานวณโดยนําเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย คูณด้วยอายุราชการ เช่น เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายเท่ากับ 30,000 บาท และมีอายุราชการ 35 ปี จะคํานวณบำเหน็จที่ได้รับได้เท่ากับ 30,000 x 35 = 1,050,000 บาท
กรณีผู้ไม่เป็นสมาชิก กบข. คิดง่ายๆ ดังนี้
บำนาญ ให้นำเงินเดือนๆ สุดท้าย คูณอายุราชการ หารด้วย 50
ตัวอย่าง เช่น ท่านมีเงินเดือน ๆ สุดท้าย 36,020 บาท และมีอายุราชการ 35 ปี
คํานวณได้ ดังนี้ = 36,020 x 35   = 25,214
                                   50
สำหรับผู้ที่เลือกรับบํานาญจะได้เงินบําเหน็จดํารงชีพและเงินบําเหน็จตกทอดเช่นเดียวกับสมาชิก กบข.
บําเหน็จ ให้นําเงินเดือนๆ สุดท้าย คูณด้วยอายุราชการ
ตัวอย่าง เช่น ท่านมีเงินเดือน 36,020 บาท อายุราชการ 35 ปี
คํานวณได้ ดังนี้ = 36,020 x 35   = 1,260,700
เงินบำเหน็จคำนวณได้เท่าไรก็จะได้รับไปทั้งหมดในคราวเดียว

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การขอรับและการจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม




ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง) 
..............นายพิศิษฐ์ แผ่วัฒนากุล.............
ตำแหน่ง :  ...นักวิชาการคลังชำนาญการ..............
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง) 
..............นายพิศิษฐ์ แผ่วัฒนากุล.............
ตำแหน่ง :  ...นักวิชาการคลังชำนาญการ..............
ความรู้เกี่ยวกับ  : การขอรับและการจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ 
 การปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม 
บทความนี้ผู้แบ่งปันได้คัดย่อและสรุปสาระสำคัญจากคู่มือ หนังสือสั่งการ และแผ่นพับของสำนักบริหารการรับ – จ่ายเงินภาครัฐ กรมบัญชีกลาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารภารกิจด้านกฎหมายระเบียบการคลังของกรมบัญชีกลางให้บุคลากรในสังกัดมีความรู้ความเข้าใจเนื้อหาสาระเบื้องต้น โดยเฉพาะข้าราชการที่บรรจุใหม่ ประกอบกับกฎหมายระเบียบการขอรับและการจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัย เนื่องจากการช่วยเหลือราชการการปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรมมีประโยชน์โดยตรงกับประชาชนทุกคนที่ได้รับอันตราย เจ็บป่วย หรือถูกประทุษร้าย เนื่องมาจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม นอกจากนี้ ท่านสามารถสืบค้นรายละเอียดเนื้อหาสาระ อัตราการจ่ายเงินสงเคราะห์ และแบบคำขอรับเงินที่เกี่ยวข้องด้วยคิวอาร์โค้ด (QR Code)
1.ความเป็นมาของกฎหมายว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ฯ
การช่วยเหลือราชการการปฏิบัติงานของชาติ มิใช่จะเป็นหน้าที่ของข้าราชการ แต่เพียงฝ่ายเดียวประชาชนทั่วไป รวมทั้งผู้ซึ่งมิได้มีฐานะเป็นข้าราชการ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อาสาพัฒนา ราษฎรอาสาสมัคร ฯลฯ ก็มีหน้าที่ช่วยเหลือราชการหรือปฏิบัติงานของชาติด้วยเหมือนกัน เมื่อบุคคลดังกล่าวได้รับอันตราย ได้รับการเจ็บป่วยหรือถูกประทุษร้าย เนื่องมาจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติแล้ว แต่เดิมมาทางราชการไม่มีกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนให้จ่ายเงินช่วยเหลือเป็นการตอบแทนทางราชการได้ตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ตรากฎหมายว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยขึ้นเรียกว่าพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม พ.ศ. 2497 เป็นครั้งแรก ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเงินสงเคราะห์ไว้ว่า จะต้องเป็นการได้รับอันตรายจนพิการเสียแขนหรือขา หูหนวกทั้งสองข้าง ตาบอดหรือได้รับการป่วยเจ็บ ซึ่งแพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจแล้วและแสดงว่าถึงทุพพลภาพ เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) ช่วยเหลือราชการ หมายความว่า ผู้ซึ่งช่วยเหลือราชการด้วยความสมัครใจของตน หรือผู้ซึ่ง  ถูกร้องขอจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งในการช่วยเหลือนั้นเป็นไปในลักษณะความยินยอมพร้อมใจของตนเองโดยมิได้หวังผลตอบแทนใด ๆ จากทางราชการ แต่ทางราชการอาจมีค่าใช้จ่ายให้เพื่อเป็นการตอบแทนการช่วยเหลือราชการนั้นได้ตามสมควร เช่น ในรูปของค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นต้นแต่มิได้ เป็นการจ่ายในลักษณะค่าตอบแทนการทำงานเป็นหลักแทนการช่วยเหลือราชการดังกล่าว
(2)ปฏิบัติงานของชาติตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการ ซึ่ง “ปฏิบัติงานของชาติ” หมายถึงการปฏิบัติงานในระดับงานที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่มีการมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ยกเว้นกรณีเป็นงานที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หรือเพื่อความปลอดภัยของบุคคลนั้นและครอบครัว เช่นการได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานในด้านความมั่นคง หรือการปราบปรามผู้มีอิทธิพล จึงจำเป็นต้องปกปิดชื่อ หรือข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลดังกล่าวให้มากที่สุด เป็นต้น ซึ่งกรณีนี้ หากบุคคลดังกล่าวประสบอันตรายแล้วต้องอาศัยข้อมูลหรือหลักฐานจากบุคคล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหลักฐานในการได้รับการสงเคราะห์ อย่างไรก็ดี การปฏิบัติงานของชาติ หมายรวมถึงการปฏิบัติงานของชาติในทุกด้านโดยมิได้หมายถึงเฉพาะในด้านความมั่นคงแต่เพียงอย่างเดียวการปฏิบัติงานของชาติอาจมีค่าตอบแทนให้แก่ผู้ปฏิบัติงานได้ตามสมควร แต่ต้องไม่เป็นไปในลักษณะของค่าตอบแทนซึ่งมีกฎหมายระเบียบ กำหนดไว้ชัดเจนให้จ่ายได้ เช่น เงินที่จ่ายเพื่อให้ไปปฏิบัติราชการลับปราบปรามผู้ก่อการร้าย เป็นต้น
(3) ช่วยเหลือบุคคลอื่นตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งแยกพิจารณาได้ดังนี้
การปฏิบัติการตามหน้าที่ หมายความว่า บุคคลผู้ซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ซึ่งมีกฎหมายกำหนดถึงอำนาจหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวไว้ เช่นเดียวกับการปฏิบัติการตามหน้าที่ของข้าราชการ แต่เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวเมื่อได้รับอันตรายอันเนื่องมาจากเหตุปฏิบัติการตามหน้าที่แล้วไม่มีกฎหมายรองรับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับข้าราชการจึงได้รับการสงเคราะห์ตามกฎหมายฉบับนี้
ส่วนการช่วยเหลือบุคคลอื่นตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด เช่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 374 บัญญัติไว้สรุปว่า ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเอง หรือผู้อื่น หรือตามกฎหมายอื่นที่ได้กำหนดการช่วยเหลือไว้ เป็นต้น
(4) ปฏิบัติการตามหน้าที่มนุษยธรรม ในเมื่อการนั้นไม่เป็นการขัดกับคำสั่งโดยชอบของเจ้าพนักงานหมายความว่า บุคคลผู้ซึ่งสมัครใจทำการช่วยเหลือบุคคลอื่นโดยการช่วยเหลือนั้นไม่มีกฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่ที่จะต้องให้ความช่วยเหลือแต่เป็นการช่วยเหลือตามหน้าที่มนุษยธรรม ทั้งนี้ การช่วยเหลือดังกล่าวต้องไม่เป็นการขัดกับคำสั่งโดยชอบของเจ้าพนักงาน เช่นเกิดเหตุเพลิงไหม้และมีบุคคลอื่นติดอยู่ในกอง
เพลิง ซึ่งขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่ระงับเหตุเพลิงไหม้และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในกองเพลิงอยู่แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ได้ห้ามบุคคลผู้ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุ เพราะอาจเกิดอันตรายได้ แต่ไม่เชื่อกลับเข้าช่วยเหลือจนทำให้ได้รับอันตราย เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการขัดคำสั่งโดยชอบของเจ้าพนักงาน
    ถ้าผู้ใดมีกรณีที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์เป็นรายเดือนตามกฎหมายซึ่งการจ่ายเงินสงเคราะห์ดังกล่าว เป็นการช่วยเหลือโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยและกรณีผู้ประสบภัยถึงแก่ความตายก็เป็นหลักประกันแก่ทายาทผู้ประสบภัยอีกประการหนึ่งด้วย และกฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ได้มีการปรับปรุงแก้ไขมาเป็นลำดับ เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน โดยกำหนดให้ผู้ประสบภัยซึ่งสูญเสียอวัยวะอื่นๆ  นอกจากแขน ขา หูหนวกทั้งสองข้าง หรือตาบอด ได้รับการสงเคราะห์ และในกรณีที่ผู้ประสบภัยต้องพิการทุพพลภาพขนาดหนักจนเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งในการประกอบอาชีพหรือการดำรงชีพ สมควรให้ได้รับเงินดำรงชีพเป็นรายเดือนด้วย
2.บุคคลที่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์
          ตามพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติ หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม พ.ศ. 2543 กำหนดหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการสงเคราะห์และจ่ายเงินสงเคราะห์ไว้ ดังนี้
1. ผู้ซึ่งถูกประทุษร้ายหรือป่วยเจ็บ
2. ผู้ซึ่งได้รับอันตรายถึงสูญเสียอวัยวะหรือสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไป
3. ผู้ซึ่งทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บจนไม่สามารถใช้กำลังกายหรือความคิดประกอบอาชีพได้ตามปกติ
4. ผู้ซึ่งถึงแก่ความตาย
                                ทั้งนี้เพราะได้กระทำการอันใดอันหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1. ช่วยเหลือราชการ
2. ปฏิบัติงานของชาติตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการ
3. ปฏิบัติการตามหน้าที่หรือช่วยเหลือบุคคลอื่นตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด
4. การปฏิบัติการตามหน้าที่มนุษยธรรม ซึ่งพลเมืองดีพึงปฏิบัติและการปฏิบัติการนั้น ไม่ขัดกับคำสั่งโดยชอบของเจ้าพนักงาน เว้นแต่เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือจากความผิดของตนเอง
3. หลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ประสบภัย จะได้รับการสงเคราะห์ตามกรณี ดังนี้
    3.1 กรณีได้รับบาดเจ็บ หรือป่วยเจ็บ จะได้รับค่ารักษาพยาบาล
    3.2 กรณีได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นสูญเสียอวัยวะและพิการทุพพลภาพ จะได้รับ
  3.2.1 ค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิเหมือนข้าราชการ
  3.2.2 เงินชดเชย กรณีสูญเสียอวัยวะ ซึ่งเป็นเงินก้อนจ่ายตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนดตาม
          ความสูญเสียของอวัยวะ เช่น แขนขาดข้างหนึ่งได้รับ 24.5 เท่าของอัตราเงินเดือน, ขาขาดข้างหนึ่งได้รับ 22.5 เท่าของอัตราเงินเดือน, มือขาดข้างหนึ่งได้รับ 18.5 เท่าของอัตราเงินเดือน
   3.3 กรณีทุพพลภาพขนาดหนักจนไม่สามารถใช้กำลังกาย หรือความคิดประกอบอาชีพได้ตามปกติ จะได้รับ
 3.3.1 ค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิเหมือนข้าราชการ
 3.3.2 เงินชดเชย เป็นเงินก้อนที่จ่ายให้ผู้ประสบภัย  โดยจ่ายให้ 30 เท่าของอัตราเงินเดือน
 3.3.3 เงินดำรงชีพซึ่งจ่ายเป็นรายเดือน คือ จะคิดเป็นร้อยละห้าสิบของอัตราเงินเดือนข้าราชการพลเรือนที่ใช้อยู่ ณ วันประสบภัย
   3.4 กรณีถึงแก่ความตาย
-  เงินชดเชย จ่ายให้แก่ทายาทผู้ประสบภัยจะได้รับเงินชดเชย 30 เท่าของอัตราเงินเดือนของ
   ข้าราชการพลเรือน ที่ใช้อยู่ ณ วันประสบภัย
-  เงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ ให้แก่ทายาทผู้ซึ่งจัดการศพ หรือผู้จัดการศพ ได้รายละ 20,000.- บาท
หมายเหตุ
1. อัตราเงินเดือน หมายถึง อัตราเงินเดือนขั้นต่ำของบัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือน ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการที่ใช้อยู่ขณะประสบภัย
2. ค่ารักษาพยาบาลให้นำบทบัญญัติว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของข้าราชการมาใช้บังคับโดยอนุโลม
3. เงินชดเชยและเงินดำรงชีพ คือ เงินสงเคราะห์ตาม พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ ซึ่งต้องนำเข้าพิจารณาในคณะกรรมการ ฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติจ่าย สำหรับค่ารักษาพยาบาลและค่าจัดการศพผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ว่ากรุงเทพมหานคร มีอำนาจอนุมัติให้จ่ายได้ โดยไม่ต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการ ฯ
4. สถานที่ยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือ
    4.1 สถานที่ยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือ
 4.1.1 ในเขตกรุงเทพมหานคร - ให้ยื่นแบบคำขอรับตามแบบคำขอรับความช่วยเหลือที่กำหนด พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบต่อผู้อำนวยการเขต ซึ่งเป็นท้องที่ที่เกิดเหตุ
4.1.2 สำหรับต่างจังหวัด - ให้ยื่นแบบคำขอรับตามแบบคำขอรับความช่วยเหลือที่กำหนด พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบต่อนายอำเภอ ซึ่งเป็นท้องที่ที่เกิดเหตุ  
5. แนวทางการดำเนินการและการพิจารณาอนุมัติ
     5.1 ประสบภัยหรือทายาท ยื่นเรื่องขอรับเงินสงเคราะห์ ต่อผู้อำนวยการเขต / นายอำเภอท้องที่ที่เกิดเหตุ
     5.2 ผู้อำนวยการเขต / นายอำเภอท้องที่ที่เกิดเหตุสอบสวนข้อเท็จจริง และช่วยเหลือในการหา
      เอกสารหลักฐานประกอบคำขอ ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำขอ หรือขอขยายได้อีก 15 วัน  
      ก่อนส่งเรื่องให้ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณา
     5.3 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาคำขอรับพร้อมหลักฐานภายใน  15      วันนับแต่ได้รับเรื่อง กรณีหลักฐานถูกต้องครบถ้วนจะส่งคำขอรับไปยังเลขานุการคณะกรรมการ
      สงเคราะห์ผู้ประสบภัย (อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นเลขานุการคณะกรรมการฯ)
     5.4 เลขานุการคณะกรรมการฯ โดยอธิบดีกรมบัญชีกลาง หากเห็นว่าเข้าข่ายที่จะพิจารณาให้นำเสนอ  ต่อคณะกรรมการฯ ภายใน 30 วัน นับแต่เอกสารหลักฐานครบถ้วน
     5.5 คณะกรรมการฯ พิจารณาเพื่อมีมติอนุมัติจ่าย หรือไม่จ่าย ตามแต่กรณี
     5.6 ฝ่ายเลขานุการฯแจ้งให้กระทรวงการคลังสั่งจ่ายตามมติ ภายใน 15 วันนับจากวันที่คณะกรรมการมีมติ

ที่มาข้อมูล
1. สำนักบริหารการรับ – จ่ายเงินภาครัฐ กรมบัญชีกลาง    
     เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง http://www.cgd.go.th/wps/portal/cgd/home หัวข้อ เงินช่วยเหลือพลเมืองดี
2. กฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่  พระราชบัญญัติ, ระเบียบกระทรวงการคลัง และประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติ หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม โดยท่านสามารถสืบค้นรายละเอียดได้ทางคิวอาร์โค้ด

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การเตรียมการรับมือกับภัยธรรมชาติ

ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวปนัสยา  เสียงก้อง
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลัง

คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางสาวศศิธร  ตันติพงศ์ 
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
ความรู้เกี่ยวกับ  : การเตรียมการรับมือกับภัยธรรมชาติ
หน่วยงาน : กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร


การเตรียมการรับมือกับภัยธรรมชาติ
ภัยจากธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว คลื่นยักษ์สึนามิ น้ำท่วม ไฟป่า พายุ หรือโรคระบาด เป็นสิ่ง
ที่มนุษย์เราต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งภัยคุกครามจากผู้ก่อการร้าย เช่น ระเบิดพลีชีพ ตึกถล่ม อาวุธเคมี อาวุธเชื้อโรค อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ โดยไม่เลือก วัน เวลา สถานที่ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นในแต่ละครั้งยังผลเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมากมายมหาศาลอย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่พวกเราทำได้เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบานั่นคือการเตรียมรับมือกับภัยพิบัติไว้ล่วงหน้า ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วการเตรียมการรับมือภัยธรรมชาติและภัยจากผู้ก่อการร้ายจะไม่แตกต่างกันนัก เริ่มจาก
1. วางแผนสิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ในแต่ละประเภท
•ศึกษาลักษณะ ข้อควรปฏิบัติ และข้อหลีกเลี่ยง ของภัยพิบัติแต่ละประเภท ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดไฟป่า ควรสวมหน้ากากกันควันไฟและอพยพไปในทิศเหนือลม หรือ เมื่อเกิดพายุ ควรอยู่ห่างจากหน้าต่างหรือหนีหลบลงไปห้องใต้ดิน เป็นต้น
•ให้ความรู้แก่ เพื่อน ญาติพี่น้อง ครอบครัว
•เตรียมพร้อมประเมินสถานการณ์ เพื่อตัดสินใจที่จะอพยพหรืออยู่หลบภัยในที่พัก
•ในบางสถานการณ์ การอยู่หลบภัยในที่พักจะปลอดภัยกว่า เช่น เมื่อเกิดพายุหรืออากาศภายนอกเป็นพิษ ให้พิจารณาเลือกห้องภายในตัวอาคารที่มั่นคงแข็งแรง ปิดมิดชิด มีเสบียงเพียงพอ
•ในกรณีที่ต้องอพยพ ให้กำหนดจุดนัดพบไว้หลายแห่ง ทั้งในระยะใกล้ที่สามารถเดินไปได้ จนถึงระยะไกล โดยกำหนดไว้ในทุกทิศทาง คือ เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก สำหรับคนที่มีรถยนต์ ควรเติมน้ำมันให้เหลืออย่างน้อยครึ่งถังอยู่เสมอ
•วางแผนที่จะติดต่อสื่อสารถึง เพื่อน ญาติพี่น้อง หรือครอบครัว เผื่อไว้หลายๆ รูปแบบ    หากโทรศัพท์บ้านหรือโทรศัพท์มือถือใช้การไม่ได้ ก็อาจใช้อีเมลแทน อนึ่งการติดต่อข้ามเมืองอาจทำได้สะดวกกว่าการติดต่อในเมืองที่พักอยู่เพราะอาจไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์
•ควรวางแผนเผื่อไว้ กรณีเกิดเหตุการณ์ขณะที่อยู่ที่สถานศึกษาหรือที่ทำงาน
•หมั่นซักซ้อมและปรับปรุงแผนที่วางไว้อยู่เสมอ
 2. เตรียมรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในกรณีฉุกเฉิน
•เอกสารสำคัญประจำตัว เช่น หนังสือเดินทาง ใบขับขี่ บัตรประกันสุขภาพ และอื่นๆ
ควรเก็บไว้ในถุงพลาสติกหรือแฟ้มที่กันน้ำได้
•อุปกรณ์กรองอากาศ เช่น หน้ากากกันแก๊สพิษหรือเชื้อโรค
•น้ำสะอาดสำหรับใช้ดื่ม อย่างน้อย 3 วัน
•อาหารแห้ง สำเร็จรูป เครื่องกระป๋อง ให้เพียงพอ อย่างน้อย 3 วัน
•เครื่องนุ่งห่ม เสื้อกันฝน เสื้อกันหนาว ถุงมือ ถุงนอน
•ไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉายสำรอง
•วิทยุที่ใช้ถ่านไฟฉาย
•เงินสด หรือเช็คเดินทาง
•ผ้าพันแผล ยาฆ่าเชื้อโรค ยารักษาโรคทั่วไป ยาประจำตัว
•ไม้ขีดไฟแบบกันน้ำ
•เข็มทิศ
•นกหวีด สำหรับเป่าเรียกความช่วยเหลือ
•รองเท้าที่คงทนและสวมใส่สบาย
•กระดาษชำระ

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)



ความรู้ที่แบ่งปัน  :  กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวพิชญาภา  ภมรมานพ >>>>>
ตำแหน่ง : นิติกร

คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางสาวศิริพร  บานใจ >>>>>
ตำแหน่ง : นิติกร

หน่วยงาน   สำนักกฎหมาย
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 84 (4) บัญญัติให้รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ คือ จัดให้มีการออมเพื่อดำรงชีพในยามชราภาพแก่ประชาชนให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงในวัยชราและเป็นการสร้างวินัยการออมให้แก่ประชาชนในวัยทำงาน จึงได้มีการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ขึ้น
1. ผู้มีสิทธิสมัครสมาชิก กอช. บุคคลผู้มีสิทธิสมัครสมาชิก
กอช. จะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย ซึ่งมีอายุระหว่าง 15 ปี
บริบูรณ์ ถึงไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และจะต้องไม่เป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม หรือกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมาย ว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือสมาชิกในระบบบำเหน็จบำนาญอื่นตามที่ประกาศไว้ในกฎกระทรวง อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1 ปีแรกของการรับสมัครสมาชิก ได้เปิดโอกาสให้บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป สามารถสมัครสมาชิกและส่งเงินสะสมเข้ากองทุนได้สูงสุดเป็นระยะเวลา 10 ปี รวมถึงบุคคลที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปด้วย
2. การสมัครเข้าเป็นสมาชิก กอช. บุคคลผู้มีสิทธิสามารถยื่นคำร้องสมัครสมาชิกผ่านทางธนาคารทั้ง 3 แห่ง ดังนี้ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยนำบัตรประจำตัวประชาชนติดต่อได้ทุกสาขาของธนาคารดังกล่าวทั่วประเทศ
 
3. เกณฑ์การส่งเงินสะสมและการได้รับเงินสมทบ สมาชิกสามารถส่งเงินสะสมเข้ากองทุน กอช. ไม่ต่ำกว่า 50 บาท และไม่เกิน 1,100 บาท (สูงสุดไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี) ผ่านช่องทางธนาคารดังกล่าวข้างต้นโดยรัฐจะทำการสมทบเข้าให้สมาชิกตามสัดส่วน ดังนี้
3.1 สมาชิกมีอายุระหว่าง 15 – 30 ปี รัฐจะสมทบเป็นจำนวนร้อยละ 50 ของเงินสะสม แต่ไม่เกินปีละ 600 บาท
3.2 สมาชิกมีอายุระหว่าง 30 – 50 ปี รัฐจะสมทบเป็นจำนวนร้อยละ 80 ของเงินสะสม แต่ไม่เกินปีละ 960 บาท
3.3 สมาชิกมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 60 ปี รัฐจะสมทบเป็นจำนวนร้อยละ 100 ของเงินสะสม แต่ไม่เกินปีละ 1,200 บาท
 อย่างไรก็ตาม หากสมาชิกเปลี่ยนงานและทำให้สมาชิกได้รับความคุ้มครองหรือหลักประกันทางรายได้
เพื่อการชราภาพตามกฎหมายที่รัฐหรือนายจ้างทำการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน หรืออยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญใดๆ สามารถคงเงินไว้ในกองทุน กอช. ได้และคงการเป็นสมาชิกภาพต่อไป โดยไม่ต้องจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนและรัฐจะไม่สมทบให้เช่นกัน ทั้งนี้ รัฐบาลจะรับประกันให้สมาชิกได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากเงินสะสมและเงินสมทบที่นำไปลงทุนไม่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 12 เดือน โดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ทั่วไป   โดยจะคำนวณเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ได้รับกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำดังกล่าวในวันที่สิ้นสุดสมาชิกภาพเพราะอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ หรือกรณีเสียชีวิต

4. เงื่อนไขการจ่ายเงินให้แก่สมาชิก กองทุนจะจ่ายเงินคืนให้แก่สมาชิกตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
 4.1 สมาชิกอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จะได้รับบำนาญจากเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ตอบแทนของเงินดังกล่าว จนกว่าจะเสียชีวิตและจะทำการคืนเงินให้แก่ทายาทผูู้มีสิทธิรับผลประโยชน์ของสมาชิก  หากมีเงินคงเหลือในบัญชีกองทุนของสมาชิกผู้นั้น
 4.2 สมาชิกทุพพลภาพก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ สมาชิกจะขอรับเงินสะสม เงินสมทบ
และผลประโยชน์ของเงินสะสมทั้งหมดหรือบางส่วนจากกองทุนก็ได้ โดยให้ขอรับเพียงครั้งเดียว ส่วนเงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบจะจ่ายเป็นบำนาญให้แก่สมาชิก เมื่อมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ซึ่งหากสมาชิกได้มีการคงเงินไว้ในกองทุนทั้งหมดหรือบางส่วน ก็จะนำเงินที่คงไว้มาคำนวณเพื่อจ่ายบำนาญด้วย

4.3 สมาชิกลาออกจากกองทุนก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จะได้รับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสม
 4.4 สมาชิกเสียชีวิต กองทุนจะจ่ายเงินตามจำนวนที่คงเหลืออยู่ในบัญชีกองทุนของสมาชิกให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิรับผลประโยชน์
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และยังมีประชากรวัยทำงานจำนวนไม่น้อยที่ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกฎหมายบำเหน็จบำนาญหรือกฎหมายประกันสังคมใดๆ ผู้แบ่งปันจึงใคร่ขอประชาสัมพันธ์ให้กับบุคคลากรซึ่งมีบุตรหลานหรือญาติมิตรที่ประกอบอาชีพดังกล่าว ให้ทำการสมัครสมาชิกกองทุนและเริ่มออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมวินัยการออมเงินเพียงอย่างเดียวแต่ยังเป็นการสร้างหลักประกันคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยสูงอายุอีกด้วย


วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

วิธีการจัดการเวลา

แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวศุภลักษณ์  มูลสมบัติ  >>>>>
ตำแหน่ง :  นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางนภัทร  จันทราวดี  >>>>>
ตำแหน่ง : เจ้าพนักงานการคลังชำนาญงาน
ความรู้เกี่ยวกับ  :วิธีการจัดการเวลา

การบริหารเวลา คือ การรู้จักวางแผนและจัดสรรเวลาในการทำงานอย่างถูกต้อง เหมาะสม ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นนักบริหารเท่านั้นที่จะสามารถบริหารเวลา ทุกคนก็สามารถทำได้เพียงแต่ต้องรู้จักที่จะแบ่งเวลา โดยจัดสรรเวลา    ของตนเองให้ถูกต้องและเหมาะสม ดังนั้นทุกนาทีอย่าปล่อยไปโดยเปล่า

ประโยชน์ ลองมาจัดสรรเวลาด้วยวิธีการจัดการเวลา ดังนี้
1.ควรตั้งนาฬิกาในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย เช่น วางบนโต๊ะหรือติดกำแพงด้านที่เรานั่งหันไปหา เพื่อให้มองเห็นเวลาได้ชัดเจน และจัดการกับเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม รวมถึงหัดสวมนาฬิกาติดตัวไว้ด้วย ไม่ใช่แค่เพื่อดูเวลาอย่างเดียว การให้ความสำคัญกับเรื่องเวลายังช่วยให้มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลาขึ้นด้วย
2.จัดลำดับความสำคัญของงานให้ถูก งานไหนส่งก่อน งานไหนส่งทีหลัง แยกความสำคัญให้ออก ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น และไม่เครียดด้วย
3.จำเดดไลน์ให้ขึ้นใจ เมื่อรู้กำหนดเวลาส่งงานแล้ว ควรจำให้ได้ว่าชิ้นไหนส่งเมื่อไหร่ จะได้ไม่เป็นดินพอกหางหมูและไม่ลนตอนก่อนส่ง เผื่ออาทิตย์ไหนมีกิจกรรมเสริมจะได้จัดการเวลาทำงานให้ดีขึ้น ถ้าจำไม่ได้ให้จดไว้
4.ใช้มือถือในทางที่เป็นประโยชน์ ลองเปลี่ยนแนวจากเล่นเกมส์เป็นหลักมาใช้ในทางที่มีประโยชน์บ้าง เช่น หาแอพฯ เรียนภาษาอังกฤษดีๆ หรือใช้แอพฯ ช่วยจัดการเวลาก็ได้ เช่น แอพฯ สมุดจดบันทึก ออกาไนเซอร์ ปฏิทินจดงานน่ารักๆ จะได้ไม่พลาดงานสำคัญ
5.หักห้ามใจเรื่องการเล่นโซเชียลมีเดียบ้าง หากโซเชียลมีเดียที่ว่าเล่นเพื่อความบันเทิงล้วน ๆ ลองหักห้ามใจ ลด ละ เลิกบ้าง เพราะสื่อพวกนี้กินเวลาชีวิตเราไปมหาศาล ถ้ามันยากจริง ๆ ลองค่อย ๆ ลดเวลาเล่นลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีสมาธิพอที่จะไม่สนใจ รับรองว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นแน่ๆ
6.กำหนดแผนงาน To-Do-List ในแต่ละวัน เขียนสิ่งที่ต้องทำในบันทึก พร้อมกับจัดสรรเวลาแล้วก็จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมไปด้วย และระบุเวลาไปว่าจะทำอะไร เท่าไหร่ อาจจะเป็นในช่วงแรก ๆ ของคนที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการบริหารเวลา แต่ถ้าใครที่คุ้นเคยแล้วอาจจะไม่ต้องบันทึกก็ได้ แต่ถ้างานเยอะมากก็น่าจะบันทึกว่าวันนี้เราจะต้องทำอะไรบ้าง จะช่วยให้เราทำงานในเวลาที่มีจำกัดได้ดีขึ้น และเมื่อผ่านวันไปแล้วให้กลับมาเช็คด้วยว่าทำสำเร็จ  ตรงตามที่วางแผนหรือเปล่า หากวางแผนแล้วไม่เคยทำสำเร็จเลย ต้องลองพิจารณาตัวเองถึงสาเหตุที่ทำไม่ได้ตามแผน  เราขี้เกียจหรือแผนแน่นไป
7.ระหว่างทำงานพยายามเรียนรู้งานนั้นๆ ไปในตัว เผื่ออนาคตข้างหน้าที่งานแบบเดียวกันอีกจะได้คล่องขึ้น คล้าย ๆ กับการทำโจทย์เลขทำหลาย ๆ ข้อ เราจะชินและทำโจทย์ประเภทเดียวกันได้คล่องขึ้น
8.รู้ขีดความสามารถตัวเองและวางแผนให้เหมาะสม ต้องรู้แนวตัวเองก่อนว่าเราเป็นแบบไหน ทำงานเร็วหรือช้า ช่วงไหนมีสมาธิในการทำงานมากที่สุด สไตล์ใคร สไตล์มัน รู้จักตัวเองดีที่สุด
9.ทำงานด้วยความรอบคอบ จะได้ไม่เสียเวลาแก้งานเดิม เพราะทำงานผิด 1 ครั้งจะต้องเสียเวลาเพิ่มอีก1 เท่า
10.ลดจำนวนครั้งในการประชุม เรื่องประชุมนี่เป็นเรื่องที่จริง ๆ แล้วหลีกเลี่ยงยาก แล้วเป็นเรื่องที่บางครั้งเสียเวลามาก ถ้าประธานที่ประชุมไม่คุมเวลาให้ดีท่านที่เป็นหัวหน้างานต้องให้ความสำคัญอย่างมาก ว่ามันไม่ได้กินเวลาเฉพาะของท่านมันกินเวลาผู้ร่วมประชุมของลูกน้องท่านด้วย ต้องพยายามใช้เวลาประชุมให้น้อยที่สุด แต่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้าประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการประชุมต้องไม่เอามาพูด
11.ออกจากบ้านให้เช้าขึ้น จะทำให้เรามีเวลาที่จะเตรียมการอะไรได้ดี มีสมาธิที่จะทำอะไรได้ดีขึ้น แล้วก็ได้เวลาที่ทำงานมากขึ้นด้วย
12.จำกัดเวลาหากมีกิจกรรมเพิ่มเติมจากแผนที่วางไว้ เพื่อไม่ให้รบกวนเวลาอื่น ๆ เช่น มีธุระต้องไปซื้อของ ต้องกำหนดเวลาเลือกซื้อของเฉพาะที่จำเป็น  เพื่อไม่ให้แผนที่วางไว้ล้มเหลว
13.จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ ความเป็นระเบียบมีส่วนช่วยเรื่องเวลา ถ้าวางเอกสารถูกที่ถูกทาง แยกเป็นระเบียบ ก็ง่ายต่อการหยิบมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว รู้ว่าของอยู่ตรงตำแหน่งนี้หยิบปั๊บได้เลย
14.อย่ามองข้ามเศษเวลา หมายถึง ช่วงเวลาที่เหลือเป็นระยะเวลาสั้น ๆ 3 นาที 5 นาที 15 นาที เช่นทานข้าวกลางวันเสร็จเร็ว เหลืออีก 10 นาที ลองเอาเวลาเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ดู เช่น หยิบงานชิ้นต่อไปมาทำก่อนเวลาเข้าทำงาน

วิทยากรมือใหม่โครงการระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำ


 
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวอนินทิศา  ไทยบัณฑิตย์
ตำแหน่ง  :  นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ
คุณลิขิต  (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นายกิติคุณ  จงเสรีกิจ
ตำแหน่ง  :  นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ
ความรู้เกี่ยวกับ  :   วิทยากรมือใหม่โครงการระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำ

ทุกคนคงเคยเข้ารับการอบรมหรือสัมมนา และแน่นอนในการอบรมหรือสัมมนานั้น คนสำคัญที่สุดในห้องอบรม ก็คือ วิทยากรนั่นเอง เป็นบุคคลที่กุมชะตาชีวิตของผู้เข้ารับการอบรมเอาไว้ ทำไมนะเหรอ เพราะวิทยากรสามารถทำให้  ผู้เข้ารับการอบรมรู้สึกสุข สนุก เศร้า เบื่อ และง่วงนอน ได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถและความเชี่ยวชาญส่วนบุคคลของวิทยากร ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมวิทยากรมืออาชีพจึงไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้ นั่นก็เพราะวิทยากรต้องทำให้ผู้เข้ารับการอบรมได้รับความรู้ตามเนื้อหาที่บรรยายอย่างไม่น่าเบื่อ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่วิทยากรนอกจากจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะบรรยายอย่างถ่องแท้แล้ว ที่สำคัญจะต้องมีทักษะในการสื่อสารอย่างดีเยี่ยม และที่ขาดไม่ได้คือ มนุษยสัมพันธ์   ที่ดี วิทยากรมืออาชีพจึงต้องมีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง
และวันหนึ่งภาระอันยิ่งใหญ่กับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งก็มาเยือน เมื่อเราได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นหนึ่งของทีมวิทยากรสำหรับการฝึกอบรม

โครงการระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ซึ่งมีทั้งการบรรยายและฝึกปฏิบัติระบบงานคอมพิวเตอร์ ช่วงแรกให้ฝึกโดยการเป็นผู้ช่วยวิทยากรไปก่อน แต่ผู้ช่วยก็คือผู้ช่วยแหละนะ ถึงจะช่วยได้บ้างไม่ได้บ้างก็ยังไม่ค่อยเป็นอะไร หากแต่เมื่อต้องเป็นวิทยากร นั่นคือ นางเอกพระเอกของห้องอบรมที่ทุกคนจับจ้อง ไว้ใจ เชื่อใจ ดังนั้นเราจึงไม่รู้ไม่ได้ ถ้าวิทยากรตกม้าตายการอบรมก็ไปไม่รอด สิ่งที่ต้องทำก็คือการเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดเพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการเป็นวิทยากรมือใหม่
1.วิเคราะห์ตนเองว่ามีความรู้ในหัวข้อที่ได้รับมอบหมายเพียงพอหรือยัง หากพบว่ายัง ต้องหาความรู้เพิ่มเติม อาจจะเป็นเอกสารหรือผู้รู้ในทีมงาน การสืบค้นข้อมูลจาก Internet 
2.ทำความเข้าใจกับวัตถุประสงค์ และเนื้อหาของหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย ต้องเข้าใจให้ชัดเจนในทุกประเด็น
3.ศึกษาข้อมูลของผู้เข้ารับการอบรม เป็นกลุ่มใด หรือเป็นใคร เพื่อจะได้เน้นความรู้ได้ชัดเจนขึ้น
4.จัดทำและเตรียมข้อมูล/สื่อประกอบการอบรม โดยจัดทำ PowerPoint ให้ชัดเจน เข้าใจง่าย สอดคล้องกับเนื้อหา
5.ซักซ้อมขั้นตอนกระบวนการนำเสนอให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอน จะทำให้ไม่เกิดการติดขัด เนื่องจากโจทย์ที่จะนำมาใช้ในการปฏิบัติต่อเนื่องจากหัวข้อบรรยายที่ต่อเนื่องกัน เพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูลในการเชื่อมโยงระบบงานทั้งหมด (ควรฝึกซ้ำหลายๆ รอบ)
6.ซักซ้อมพูดคุยและสร้างความเข้าใจกับวิทยากรผู้ช่วยให้ชัดเจน
7.ต้องไปถึงสถานที่อบรมก่อนเวลา เพื่อทดลองใช้อุปกรณ์ในห้องอบรมให้ใช้งานได้อย่างไม่ติดขัด
8.สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ไม่ชื่นชอบการพูดต่อหน้าสาธารณชน นั่นคือ ต้องมั่นใจในตัวเอง ซึ่งหากเราเตรียมตัวมาพร้อมจะมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว ต่อมาก็เสื้อผ้า หน้า ผม จัดให้พอเหมาะ เยอะไปก็ไม่ดี แต่หากยังรู้สึกตื่นเต้น การทำสมาธิก็สามารถช่วยได้อย่างดี
หลังจากการเป็นวิทยากรมือใหม่ (ครั้งแรก) ผ่านไป ทำให้รู้ว่า ไม่ว่าจะทำอะไร หากมีการเตรียมตัวให้พร้อม     จะสามารถช่วยลดความผิดพลาด และความตื่นเต้นลงได้ รวมถึงการตั้งใจฝึกซ้อมก็สามารถใช้ทดแทนพรสวรรค์ที่ไม่ได้มีกันทุกคนได้ ที่สำคัญรอยยิ้มก็ช่วยคุณได้เช่นกัน ทุกคนชอบให้คนยิ้มให้มากกว่าตีหน้าขรึมหรือทำหน้าบึ้งใส่แน่นอน ส่วนความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็ใช้เป็นข้อมูลนำมาปรับปรุงสำหรับการบรรยายในครั้งต่อไป เก็บสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เผื่อว่าสักวันจะได้เป็นวิทยากรมืออาชีพกับเขาบ้าง

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สร้างความสำเร็จในการทำงาน...ด้วยตัวคุณเอง

ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวทัศนีย์วรรณ  สารมะโน >>>>>
ตำแหน่ง :  นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ

พักเบรกปันความรู้ของกองแผนงาน

คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางสาวศุภมาส  ยั่งยืน >>>>>
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ

ความรู้ที่แบ่งปัน  :  สร้างความสำเร็จในการทำงาน...ด้วยตัวคุณเอง
เชื่อว่าเมื่อคนทุกคนก้าวเข้าสู่ช่วงวัยของการทำงานแล้ว..แต่ละคนย่อมมีความต้องการและความคาดหวังให้งานของตนประสบผลสำเร็จ โดยจะมีแนวทางและวิธีการในการสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงานที่แตกต่างกันไป บางคนชอบเอาใจและหาวิธีการต่างๆ เพื่อสร้างความพึงพอใจจากหัวหน้างาน เพราะคิดว่าหัวหน้างานสามารถสนับสนุนความสำเร็จที่เกิดขึ้นให้กับตนเองได้ แต่บางคนประสบความสำเร็จได้จากการสนับสนุนของทีมงานโดยพยายามทำทุกวิถีทางให้สมาชิกในทีมรักใคร่.. เพื่อว่าจะได้สนับสนุนให้ตนเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตามที่มุ่งหวังไว้ สำหรับบางคนเชื่อไสยศาสตร์ อาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย… และก็ยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่มีความต้องการและความมุ่งหวังที่จะให้หน้าที่การงานของตนประสบความสำเร็จด้วยความสามารถและฝีมือของตัวเอง ความสำเร็จด้วยฝีมือของเราเองจะเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต ดังนั้นในส่วนนี้จึงขอนำเสนอเทคนิคและวิธีการเพื่อการสร้างความสำเร็จในการทำงานด้วยตัวคุณเองตามหลักการง่าย ๆ ของ “ D-E-V-E-L-O-P” ดังนี้
D Development ไม่หยุดยั้งการพัฒนา
E Endurance มุ่งเน้นความอดทน
V Versatile หลากหลายความสามารถ
E Energetic กระตือรือร้นอยู่เสมอ
L Love รักงานที่ทำ
O Organizing จัดการเป็นเลิศ
P Positive Thinking คิดแต่ทางบวก

Development : ไม่หยุดยั้งการพัฒนา
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้จะต้องเป็นคนที่มีหัวใจของการพัฒนาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลิกลักษณะ พฤติกรรม หรือแม้แต่วิธีการทำงาน โดยต้องเป็นผู้ที่มีการสำรวจและประเมินความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา คอยตรวจสอบว่าเรามีจุดแข็งและจุดบกพร่องในด้านใดบ้างและพยายามที่จะหาทางพัฒนาจุดแข็งและปรับปรุงจุดบกพร่องของตนให้ดีขึ้น เช่น ถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษ...ซึ่งจำเป็นต้องนำมาใช้ในการทำงาน... ก็ควรขวนขวายหาโอกาสที่จะเรียนเพิ่มเติมนอกจากนี้ยังต้องเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับวิธีการหรือขั้นตอนการทำงานแบบเดิมๆ โดยควรจะหาเทคนิคและแนวทางใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการทำงานของตนเองให้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอยู่เสมอ

Endurance : มุ่งเน้นความอดทน
ความอดทนเป็นพลังของความสำเร็จ… อดทนต่อคำพูด อดทนต่อพฤติกรรมการดูหมิ่นหรือสบประมาท อดทนต่อความเครียดในการทำงาน… คนบางคนลาออกจากที่ทำงานเพราะเจอหัวหน้างานพูดจารุนแรง หรือเพียงแค่ถูกต่อว่าต่อหน้าที่ประชุมเท่านั้น… คุณรู้ไหมว่าการลาออกจากงานบ่อยๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะเวลาคุณไปสมัครงานที่ไหนเค้าอาจจะมองว่าคุณเป็นคนไม่มีความอดทนเลยก็เป็นได้ (เสียประวัติการทำงานของคุณเอง) หากคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายหรือไม่ปรารถนา ขอเพียงแต่ให้คุณมีความอดทนและอดกลั้นเข้าไว้ แล้วคุณจะสามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆ ได้สำเร็จ

Versatile : หลากหลายความสามารถ
หลาย ๆ องค์กรย่อมต้องการคนที่มีความรู้ และความสามารถให้เข้ามาพัฒนาและปรับปรุงองค์กรให้ดีขึ้น… ขอให้ลองคิดดูว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัท คุณอยากได้คนที่สามารถทำงานได้หลายๆ อย่าง หรือ ทำได้เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง… แน่นอนคุณคงต้องการได้คนที่มีความสามารถทำงานได้หลากหลาย ไม่ปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงงานที่ได้รับมอบหมายพิเศษ… ซึ่งบางคนที่หลีกเลี่ยงงาน กลัวว่าจะต้องทำงานมากกว่าคนอื่น ไม่อยากให้ใครเอาเปรียบ ไม่เคยอาสาที่จะทำงานนอกเหนือจากงานที่รับผิดชอบ… แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีทางที่จะได้รับความก้าวหน้าและความสำเร็จในชีวิตการทำงานได้เลย… ดีไม่ดีกลุ่มคนเหล่านี้อาจจะเป็นกลุ่มคนแรกที่ถูกพิจารณาให้ Lay Off ก่อนก็เป็นได้ (หากองค์กรต้องเผชิญกับสภาวะการเงินที่ถดถอย)

Energetic : กระตือรือร้นอยู่เสมอ
ความสำเร็จต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ถ้าคุณมีความกระตือรือร้น และมีความตื่นตัวที่จะแสวงความรู้ใหม่ๆ การรับฟังข้อมูลข่าวสารปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคให้ประสบผลสำเร็จ โดยส่วนใหญ่คนที่มีความกระตือรือร้นจะเป็นคนที่ชอบลองผิดลองถูก มาทำงานก่อนเวลาเสมอเพื่อหาโอกาสค้นคว้าข้อมูลและหาความรู้เพิ่มเติมพยายามที่จะให้งานเสร็จก่อนหรือตรงตามเวลาที่กำหนด ซึ่งแตกต่างจากคนที่ขาดความกระตือรือร้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่อยากให้วันทำงานมาถึง รอคอยเวลาเลิกงานหรือเสร็จสิ้นสัปดาห์การทำงาน ทำงานเฉื่อยไม่สนใจรับฟังข้อมูลข่าวสารใดๆ เลย ขอเพียงให้งานของตนเองเสร็จเท่านั้นเพื่อที่จะได้กลับบ้านหรือไปที่ไหนๆ ตามที่ใจปรารถนา…. ซึ่งทำนายได้เลยว่า บุคคลเหล่านั้นไม่มีทางหรือมีโอกาสน้อยมากในการได้รับความสำเร็จและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน

Love : รักงานที่ทำ
ขอให้ตระหนักไว้เสมอว่า “คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะรักงานที่ทำอยู่ได้” พบว่าในยุคสมัยนี้การเลือกงานที่รักมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่าการที่จะเลือกรักงานที่ทำ ดังนั้น “หากคุณไม่สามารถเลือกงานที่รักได้คุณก็ควรเลือกที่จะรักงานที่คุณทำ” เพราะความรู้สึกนี้เองจะส่งผลให้คุณมีความสุขกับงานของคุณขอให้คุณลองถามตัวเองว่าคุณรักงานที่ทำอยู่หรือไม่ แล้วคุณมีพฤติกรรมอย่างไรหากคุณมีความรู้สึกว่าคุณไม่รักงานที่ทำอยู่เลยและผลงานที่เกิดขึ้นของคุณเป็นอย่างไรบ้าง... บางคนเบื่อหน่ายกับชีวิต... ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม… ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน ซึ่งย่อมแน่นอนว่าคุณคงไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของคุณเลย…พื้นฐานของความสำเร็จอยู่ที่ความรักในสิ่งนั้น เมื่อคุณมีความรักคุณจะมีความสุขกับงานที่ทำ ซึ่งจะทำให้คุณพยายามหาวิธีการต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าของงานที่ทำอยู่ตลอดเวลา และนั่นจะส่งผลให้คุณรู้จักวางแผนชีวิตและเป้าหมายความสำเร็จในการทำงานของคุณ

Organizing : จัดการเป็นเลิศ
การจัดการงานที่ดี จะทำให้คุณรู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนและหลังบ้าง สามารถจัดสรรเวลาและทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ การจัดการจะเป็นสิ่งผลักดันให้คุณต้องวางแผนและเป้าหมายการทำงานอยู่เสมอ ทั้งนี้คุณเคยสำรวจตัวเองบ้างหรือไม่ว่า คุณมีความสับสนและไม่สามารถทำงานได้เสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะเป็นเครื่องบ่งบอกว่าคุณขาดประสิทธิภาพในการจัดการงานของคุณ คุณไม่สามารถบริหารทรัพยากรต่างๆ ที่มีให้เกิดประสิทธิผลได้

Positive Thinking : คิดแต่ทางบวก
ความคิดทางบวกจะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คุณมองโลกในแง่ดี มีกำลังใจและพลังที่จะทำงานต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ประสบผลสำเร็จ คนที่มีความคิดทางบวกจะเป็นคนที่สนุกและมีความสุขกับงานที่ทำ แสวงหาโอกาสที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนผู้อื่นอยู่เสมอ… สำหรับผู้ที่มีความคิดในด้านลบอยู่ตลอดเวลา จะเป็นผู้ที่หมกมุ่นอยู่แต่กับปัญหาชอบโทษตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ ขาดความคิดที่จะพัฒนาตนเองและงานที่ทำ… ในที่สุดผลงานที่ได้รับย่อมขาดประสิทธิภาพ ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะเป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน คุณควรประยุกต์ใช้หลักของการ “D-E-V-E-L-O-P” (ไม่หยุดยั้งการพัฒนา มุ่งเน้นความอดทน หลากหลายความสามารถ กระตือรือร้นอยู่เสมอ รักงานที่ทำ จัดการเป็นเลิศ คิดแต่ทางบวก) กล่าวโดยรวมก็คือ พัฒนาตนเองอยู่เสมอทั้งในด้านความคิด ความรู้ จิตใจ และการกระทำของตัวคุณ และนั่นเองจะส่งผลให้คุณมีความก้าวหน้าและประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างที่ตั้งใจและมุ่งหวังไว้

กินอาหารคลีน (Clean Food) ดีต่อสุขภาพ


พักเบรกปันความรู้ของ  กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางสาวปนัสยา  เสียงก้อง
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลัง

คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
นางสาวสุภาพ   โม้หอชัย 
ตำแหน่ง :  เจ้าหน้าที่ธุรการ

ความรู้เกี่ยวกับ  : กินอาหารคลีน (Clean Food) ดีต่อสุขภาพ
หน่วยงาน : กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
CleanFood
          อาหารคลีน (Clean Food) คือ อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยสารเคมีต่างๆ หรือผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดนั่นเอง อาหารเหล่านี้จะเป็นอาหารที่สดสะอาดไม่ผ่านกระบวนการหมักดองหรือปรุงรสใดๆ มากจนเกินไป เช่น เค็มจัดหรือหวานจัด เป็นต้นอย่างอาหารประเภทอาหารสำเร็จรูปที่แช่ตู้เย็นนั่นคือตรงข้ามเลย เพราะอาหารเหล่านี้มักใส่สารกันเสียเข้าไปด้วยเพื่อให้สามารถเก็บได้นานขึ้น หรือขนมขบเคี้ยวที่จะมีแต่แป้งและสารปรุงรสและยังเต็มไปด้วยโซเดียมกับน้ำมัน การปรุงอาหารแบบคลีนไม่ใช่การเน้นทานผักเยอะๆ แต่เป็นการทานอาหารทุกหมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมคือ ต้องมีทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื้อสัตว์ที่ใช้ควรเลือกแบบที่ไม่ใช่สำเร็จรูปหรือผ่านการปรุงรสมาแล้วจะเห็นได้ว่า อาหารคลีนเป็นอาหารที่ผ่านขั้นตอนการปรุงแต่งมาน้อย
หรือไม่ผ่านการปรุงแต่งเลย เน้นธรรมชาติของอาหารเป็นหลัก และอาหารคลีนยังมีสรรพคุณที่ดีสำหรับคนที่อ้วน คนที่มีน้ำหนักและไขมันมาก เพราะอาหารคลีนส่วนใหญ่ไม่ผ่านการปรุงแต่งสังเคราะห์ หรือหากจะมีการปรุงแต่งก็มีการปรุงแต่งที่น้อยถึงน้อยที่สุด ซึ่งจะมีผลดีต่อคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดไขมัน และคนที่ใส่ใจกับสุขภาพของตนเอง
สำหรับการเริ่มต้นการกินอาหารคลีน ต้องเริ่มต้นด้วยการไม่ยึดติดในรสชาติของอาหารแบบเดิมๆ ที่เราเคยรับประทาน เพราะการกินคลีนนั้นรสชาติจะเป็นรอง แต่จะให้ความสำคัญกับตัวอาหารที่ไม่เน้นการปรุงแต่ง หรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด เพื่อให้การกินอาหารคลีนได้รับประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกาย และผลพลอยได้ทำให้สุขภาพดีในระยะยาว ไม่เจ็บป่วยง่าย ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่าอาหารคลีนนั้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของคนรักสุขภาพ ที่ต้องการสรรหาแต่สิ่งดีๆ ให้กับตนเอง เพราะอาหารคลีนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรานั่นเอง

ปรับตัวให้เข้ากับการทานอาหาร
อย่างแรกต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าถึงกับตัดขาดอาหารบางประเภทที่คุณชอบ เพียงแค่ลดปริมาณให้น้อยลงเรื่อยๆ จนคุณเริ่มคุ้นชินกับอาหารประเภทคลีน เพราะการลดอาหารปกติอย่างฉับพลันอาจจะมีผลเสียย้อนกลับมาอย่างเช่น รู้สึกไม่มีแรง หิวง่าย และมีอาการหงุดหงิดตลอดเวลา ทำให้การใช้ชีวิตคุณแย่ลง ซึ่งไม่ใช่การทานเพื่อสุขภาพแน่นอน เลือกอาหารที่สดใหม่อยู่เสมอ ควรเลือกทานอาหารสดใหม่ ในมื้ออาหารประจำวันของคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก หรือผลไม้ เพราะจะทำให้คุณค่าทางสารอาหารเหล่านั้นอยู่ครบถ้วน รวมไปถึงผลไม้ตามฤดูกาล ก็เป็นอาหารที่ให้คุณค่าและดีต่อสุขภาพ อีกทั้งยังสดใหม่เช่นกันและกินอาหารสามมื้อไม่มีการอด ลองจัดเมนูให้เหมาะกับตัวเอง  และจัดตารางกินอาหารคลีนอย่างต่อเนื่องเริ่มจาก 1 เดือน พร้อมออกกำลังกายไปด้วย นอกจากจะรู้สึกดีกับตัวเองแล้วยังมีผลดีกับสุขภาพแน่นอน

สเต๊กปลาดอลลี่
ปลาดอลลี่หมักเกลือ Low Sodium นำไปย่างบนกระทะเทฟล่อน พอสุก โรยพริกไทยกินกับข้าวกล้อง 1 - 2 ทัพพี และผักต้ม


ข้าว (ไม่มัน) ไก่
หุงข้าวกล้องกับน้ำซุปผัก (ใส่เห็ดนางฟ้า) อกไก่ลอกหนังและไขมันออกให้หมดนำไปต้มหรือนึ่ง
น้ำจิ้ม เต้าเจี้ยว (ล้างน้ำออกเอาแต่เม็ด) ขิงแก่ พริกขี้หนู มะนาว น้ำหวานดอกมะพร้าว ซีอิ๊วดำ และน้ำเปล่า โขลกรวมกัน ชิมรสตามชอบ
น้ำซุปผัก ต้มน้ำเปล่ากับรากผักชีทุบ หัวไชเท้า ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ ซีอิ๊ว เน้นลดเกลือ

 
 

เมนูแนะนำเพิ่มเติม
1. ราดหน้าไก่ผักรวม
2. แกงส้มมะละกอกุ้ง
3. กะเพรากุ้ง
4. ผัดเปรี้ยวหวานกุ้ง
5. ผัดพริกแกงเขียวหวานไก่
6. ขนมจีนน้ำยาปู
7. ผัดพริกแกงไก่
8. ข้าวคลุกน้ำพริกปลาทูห่อไข่
9. ผัดพริกแกงถั่วฝักยาว
10. ผัดพริกแกงถั่วฝักยาวกุ้ง

ลดปริมาณน้ำตาลลง
โดยพยายามลดและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีการเติมแต่งน้ำตาลลงไป อาหารต่างๆ โดยธรรมชาติแล้วส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนของน้ำตาลผสมอยู่ ถ้าหากต้องการทานอาหารรสหวานแนะนำให้เลือกทานผลไม้ต่างๆ ที่มีรสหวาน ดีกว่าการทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารที่ให้รสหวานผสมอยู่ แต่ถึงจะเป็นผลไม้ ก็ต้องรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ

เน้นการดื่มน้ำเปล่าให้มาก
ดื่มน้ำสะอาดในแต่ละวันให้เพียงพอ สังเกตสีของปัสสาวะให้ใกล้เคียงใสมากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าจะกินได้แต่น้ำเปล่าอย่างเดียว ก็สามารถดื่มน้ำชาสมุนไพรหรือชาเขียวแทนน้ำได้ และน้ำชาพวกนี้ยังช่วยชำระล้างร่างกายแบบธรรมชาติได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถปรุงรสชาติด้วยมะนาวหรือรสชาติอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำตาล ยังสามารถทำได้ เช่น การนั่งทานอาหาร

จัดให้อาหารที่ทานมีความสมดุล
อย่าตัดคาร์โบไฮเดรตหรือไขมัน แต่พยายามปรับให้เหมาะสม ช่วยสร้างรสชาติอาหาร และเป็นพลังงานชั้นดีต่อร่างกาย อีกอย่างไขมันแหล่งดีๆ มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไขมันจากปลา หรือถั่วต่างๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการนั่งทานอาหารที่มีประโยชน์เต็มไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรตส่วนหนึ่ง ไขมันเล็กน้อยและผัก

เลือกทานแป้งได้ตามเหมาะสม
สามารถทานขนมปังอบในช่วงการทานเพื่อสุขภาพได้ เพียงแค่ลองเปลี่ยนแป้งปกติที่ใช้ในสูตรการทำเล็กน้อย โดยหันมาใช้แป้งอัลมอนด์ แป้งมะพร้าว แป้งข้าวกล้อง และแป้งข้าวโอ๊ตเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในขนมปังอบและยังคงความอร่อยเหมือนเดิม โดยอาจจะอบให้มีรสชาติฟักทอง ผลไม้ตากแห้ง แป้งมีหลากหลายชนิดให้
เลือกเพื่อนำมาใช้ทำอาหาร ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณค่าทางโภชนาการที่ต่างกันออกไป รู้จักสังเกตส่วนผสมให้มากขึ้น เวลาเลือกซื้อสินค้าควรเดินให้ทั่วร้านค้าอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ มีความแตกต่างกัน แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันก็คือการจัดโซนเป็นส่วนของสด เช่น ผักสด เนื้อสด ผลไม้ต่างๆ เพราะฉะนั้นโซนรอบนอกของซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ จึงเป็นดินแดนของคนรักสุขภาพ เพราะฉะนั้นในระหว่างการเดินเลือกซื้ออาหารเข้าบ้าน ควรหักห้ามใจเมื่อได้เดินผ่านอาหารที่มีบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามหรือจะเป็นตู้แช่อาหารสำเร็จรูป ให้หลีกเลี่ยงซะ อาหารส่วนใหญ่ในปัจจุบันผลิตในกระบวนการอุตสาหกรรมและบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นกระบวนการผลิตและอาหารได้ แต่ก่อนที่จะควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารพวกนั้น ควรจะอ่านดูฉลากที่บรรจุภัณฑ์ก่อนว่ามีส่วนผสมอะไรบ้างในนั้น หลักการง่ายๆ ที่ดี คือ ถ้าไม่รู้จักส่วนผสมที่ผสมอยู่ในอาหารที่กำลังจะซื้อไปรับประทานนั้นให้หลีกเลี่ยงการทานจะดีกว่า

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การสวดมนต์


แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)                                  
คุณ สุภรา  หอมไชยแก้ว                              
ตำแหน่ง  นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ    
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)           
คุณ สุปรียา  นวลจริง
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ

หน่วยงาน  สำนักงานคลังเขต ๙
ความรู้ที่แบ่งปัน  :  การสวดมนต์
การสวดมนต์นั้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับทุกคนในยุคนี้  สะดวกมากในทุกเพศ  ทุกวัยและไม่ใช่เรื่องของคนแก่อีกต่อไปเหมือนที่เคยเป็น  และเราเข้าใจผิดกันอย่างนั้น บทสวดมนต์ต่างๆ  มีการเผยแพร่ออกมามากมายในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นกันและได้ยินกันจนเคยชินมากมายจนกระทั่งในปัจจุบัน  การสวดมนต์เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มเด็กหรือวันรุ่น ก็หันมาสนใจการสวดมนต์กันมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ก่อนนอนด้วยบทสวดตามปกติจนไปถึงคาถาชินบัญชร  บทสวดยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก  และบทสวดอื่น ๆ  อีกมากมาย
พุทธฤทธิ์ พิชิตภัย
สวดให้ขลังด้วยกำลัง 5 ประการ
การสวดมนต์เพื่อป้องกันภัยนั้น  จะเกิดอานุภาพมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในบทสวดและความตั้งใจของผู้สวดเป็นสำคัญ  เพราะพุทธมนต์แต่ละบทล้วนมีพลังอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวแล้ว เพียงแต่ว่าใครจะสามารถนำออกมาใช้ให้เกิดผลได้มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น  หัวใจของการปลุกพุทธมนต์ให้เกิดฤทธานุภาพนั้น  มี  อยู่  5  ประการ  เรียกว่า  พละ  5  คือ

1. ต้องมีศรัทธา คือ มีความเชื่อมั่นในอานุภาพของพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในอานุภาพของบทสวด เชื่อมั่นในอานุภาพแห่งความดี เชื่อมั่นว่าการสวดมนต์เป็นการทำความดี และเชื่อมั่นว่าเมื่อตนทำความดีด้วยการสวดมนต์แล้ว ความดีจักคุ้มครองตนให้ปลอดภัย ทำให้ชีวิตมีความสุขและคิดให้เป็นสุขได้
2. ต้องมีวิริยะ คือ มีความเพียร ตั้งใจทำ ไม่ทำด้วยความเกียจคร้าน
3. ต้องมีสติ คือ ในขณะสวดต้องมีสติรักษาใจให้จดจ่ออยู่กับบทสวด ไม่ปล่อยใจลอยไปคิดเรื่องอื่น คนที่สวดแต่ปาก แต่ใจลอยไปที่อื่น การสวดมนต์ก็เปล่าประโยชน์
4. ต้องมีสมาธิ คือ ขณะสวดพึงรักษาจิตให้ตั้งมั่นแน่วแน่อยู่กับการสวดเท่านั้น ถ้าผู้สวดสามารถรักษาสติให้อยู่กับบทสวดได้นานเท่าไร สมาธิก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จิตที่มีสมาธิมาก ย่อมมีพลังในการปลุกเสกพระพุทธมนต์ให้เกิดอานุภาพได้มาก
5. ต้องมีปัญญา หมายถึง ต้องสวดด้วยความเข้าใจ คือ ในขณะ สวดมนต์ก็ให้พิจารณาทำความเข้าใจในเนื้อหาของบทสวดไปด้วย เพราะเมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจที่ประกอบด้วยเหตุผลแล้ว ก็จะเป็นแรงหนุนให้มีศรัทธามากขึ้น เมื่อศรัทธามากขึ้น ก็ทำให้มีวิริยะมากขึ้น เมื่อวิริยะมากขึ้น สติก็มากขึ้น เมื่อสติมากขึ้นก็เกื้อหนุนให้สมาธิแก่กล้าขึ้น เมื่อสมาธิแก่กล้าขึ้น ปัญญาก็ เฉียบแหลมยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในพระพุทธมนต์ก็จะซึมซาบเข้าสู่จิตใจ ก่อให้เกิดพลานุภาพคุ้มครองตนเองได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง แต่สำหรับบางคนที่กำลังเริ่มจะสวดมนต์ ยังไม่เคยทราบว่านอกการได้สติ ได้จิตใจที่สงบสุขมาแล้ว สิ่งทีเราสวดมนต์นอกเหนือจากนั้นคือ "อานิสงค์จากการสวดมนต์" หรือผลที่ได้รับจากการสวดมนต์ว่ามีอะไรอย่างไร
อานิสงส์การสวดมนต์ 15 ประการ
ผู้ที่สวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริงแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ คือผลความดี มากมายดังต่อไปนี้
1. ทำให้สุขภาพดี การสวดมนต์ออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เมื่อปอดทำงาน เลือดลมก็เดินสะดวก เมื่อเลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกระฉับกระเฉง

2. คลายความเครียด ขณะสวดมนต์จิตจดจ่ออยู่กับบทสวด สมองไม่ได้คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
3. เพิ่มพูนศรัทธาในพระรัตนตรัย บทสวดแต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เมื่อสวดบ่อย จิตก็จะยิ่งแนบแน่นอยู่กับพระรัตนตรัย
4. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะสวดต้องใช้ความอดทนเพื่อเอาชนะอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ตลอดถึงอารมณ์ฝ่ายต่ำทั้งหลายมีความเกียจคร้าน เป็นต้น ยิ่งสวดบ่อย ความอดทน ก็จะมีมากยิ่งขึ้น
5. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะสวดจิตจดจ่ออยู่กับบทสวด ไม่วอกแวกฟุ้งซ่านไปที่อื่นจึงทำให้จิตสงบและเกิดสมาธิมั่นคง
6. บุญบารมีเพิ่มพูน ในขณะสวดมนต์ จิตใจย่อมปราศจากกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงได้ชื่อว่าเกิดบุญบารมี บุญบารมีนี้ เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่เราต้องการ
7. จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาหลังจากสวดมนต์ เป็นการส่งความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธในใจให้เบาบางและลดน้อยลง    ทำให้จิตใจปราศจากความโกรธ และพบแต่ความสุข
8. เกิดความเป็นสิริมงคล การสวดมนต์เป็นการทำความดีไปพร้อมกันทั้งทางกาย วาจา ใจ การทำดี พูดดี คิดดี ย่อมเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง
9. เทวดารักษา ผู้ที่ประกอบกรรมดี ทางกาย วาจา ใจ ย่อมเป็นที่รักของเหล่าเทวดา และการที่เราได้แผ่เมตตาให้แก่เทวดานั้น ก็ยิ่งจะเป็นที่รักของเทวดามากขึ้น
10. ปัญญาเกิด การสวดมนต์พร้อมคำแปล ทำให้ได้รู้และเข้าใจถึงความหมายของบทสวดนั้น
11. ผิวพรรณผ่องใสและมีเสน่ห์ การสวดมนต์ทำให้จิตใจของผู้สวดสดชื่นเบิกบาน จิตที่สดชื่นเบิกบานย่อมส่งผลให้ผิวพรรณดี หน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความรู้สึกเป็นมิตรรักใคร่เอ็นดู
12. ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้เป็นมิตรยิ่งรักใคร่
13. ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
14. ทำให้ดวงดี แก้ไขเคราะห์ร้าย ปัดเป่าเสนียดจัญไร เพราะดวงชะตาของคนเราขึ้นอยู่กับการกระทำ ใครทำดี ดวงชะตาย่อมดี ใครทำชั่ว ดวงชะตาก็ตก การสวดมนต์เป็นการทำดีที่สามารถเปลี่ยนดวงชะตาให้ดีขึ้นได้
15. ครอบครัวและสังคมสงบสุข ที่พ่อบ้าน แม่บ้าน สวดมนต์อยู่เป็นประจำ และสอนให้บุตรหลานได้สวดมนต์ จะไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง และการที่จะไปสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นก็ไม่มี มีแต่จะทำให้คนรอบข้างและสังคมอยู่เป็นสุข สงบ ร่มเย็น และยังเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่นอีกด้วย

คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานนั้น เขามีพฤติกรรมอะไรบ้าง

ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
คุณอภิชาติ สุริยวงศ์กุลการ
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลัง
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
คุณขนิษฐา ศักดิ์สุวรรณ
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลัง

ความรู้เกี่ยวกับ : คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานนั้น เขามีพฤติกรรมอะไรบ้าง
การทำงานในองค์กร พนักงานทุกคนจะต้องสร้างผลงานที่ดีให้กับองค์กร นอกจากผลงานที่ดีแล้ว พนักงานที่ดี ก็ต้องมีพฤติกรรมที่ดีด้วย โดยทั่วไปเวลาจะดูผลงานพนักงานก็มักจะดู 2.ด้าน ก็คือ.ด้านผลสำเร็จ ของตัวงานเอง และพฤติกรรมที่ดีของพนักงานซึ่งก็แล้วแต่ว่าองค์กรจะมีความเชื่อหรือค่านิยมในเรื่องเหล่านี้อย่างไร พนักงานแต่ละคนที่ทำงานในองค์กร ก็จะประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน
บางคนเป็นพนักงานที่มีความโดดเด่นมาก มีผลงานที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่ดี และทำงานอย่างมีความสุข ในทางกลับกันพนักงานบางคน แทบจะไม่มีเพื่อนเลย ผลงานก็ออกมาแบบไม่ดีนัก.การที่พนักงานคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้นั้นนอกจากจะมีความรู้ ทักษะ และความสามารถในการทำงานที่ตนเองรับผิดชอบแล้วจะต้องมีพฤติกรรมทั้ง.7.ประการเหล่านี้เป็นองค์ประกอบหลักที่จะส่งเสริมให้พนักงานประสบความสำเร็จในการทำงานในองค์กรได้ ซึ่งประกอบด้วย

•เป็นคนตรงต่อเวลา
พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมหลัก ลำดับแรกที่พนักงานที่จะประสบความสำเร็จพึงมีติดตัวไว้เสมอ คนที่มาทำงานตรงเวลา เข้าประชุมตรงเวลา เวลานัดหมายกับใครก็ตาม ก็ไปตรงเวลา หรือก่อนเวลา ซึ่งเรื่องของการตรงเวลาเป็นการที่เราให้เกียรติกับคนที่เรานัดหมายไว้ ซึ่งแน่นอน คนแบบนี้ย่อมจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่มาสายตลอดเวลาในทุกเรื่อง

•เป็นคนรักษาสัญญา
พฤติกรรมที่สองก็คือ คนที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้นั้นจะต้องเป็นคนที่รักษาคำพูด     รักษาสัญญาพูดอะไรไว้หรือสัญญาอะไรกับใครไว้ไม่ว่าจะเป็นกับหัวหน้าเพื่อนร่วมงานหรือแม้กระทั่งลูกน้อง    ของตนเองก็จะต้องรักษาคำพูดนั้นอย่างเคร่งครัดไม่ใช่พูดแล้วก็ทำเป็นลืมบ้างพยายามบ่ายเบี่ยงบ้าง แบบนี้เท่ากับว่าเราไม่รักษาคำพูดคนอื่นก็จะไม่เชื่อถือไม่ไว้ใจเรางานที่เราทำก็คงจะประสบความสำเร็จได้ยากขึ้นอีก

•ใช้เวลาขององค์กรในการทำงานให้องค์กร
พฤติกรรมนี้ถือเป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งที่คนทำงานที่ประสบความสำเร็จมีกัน.ก็คือการใช้เวลาขององค์กรเพื่อทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มที่ เนื่องจากเราได้รับเงินเดือนค่าจ้างจากทางองค์กร ถ้าพนักงานคนใดเอาเวลาทำงานขององค์กรไปทำอย่างอื่น ทำงานส่วนตัวบ้างหรือเล่นสนุกสนานไปตามอำเภอใจ ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ หัวหน้าเองก็คงไม่ชอบ ผู้บริหารก็ไม่ชอบเช่นกันความสำเร็จในการทำงานก็เกิดยากขึ้นอีก

•ใช้เงินและทรัพย์สินขององค์กรอย่างซื่อสัตย์
พนักงานที่รับผิดชอบทางด้านการเงินหรือมีการถือเงินขององค์กรอยู่หรือทำงานโดยอาศัยทรัพย์สิน    ขององค์กร ก็จะต้องใช้เงินและทรัพย์สินขององค์กรไปในทางที่สุจริตไม่เอาเงินและทรัพย์สินองค์กรไปลงทุนหรือใช้ส่วนตัวแม้ว่าจะไม่มีปัญหาอะไรแต่พฤติกรรมแบบนี้คือพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นถึงการทุจริตต่อหน้าที่การงานของเราเอง

•เสนอตัวช่วยเหลือการทำงาน
พนักงานที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน มักจะเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นเวลาที่ตนเองทำงาน     เสร็จแล้วและมีเวลาเหลืออยู่ก็เสนอตัวเองในการเข้าไปช่วยเหลือการทำงานของเพื่อนร่วมงานบ้างหรือช่วยหน่วยงานอื่นๆ บ้าง.โดยที่คนอื่นไม่ต้องร้องขออะไรและการช่วยเหลือนี้ก็เป็นการช่วยเหลืออย่างเต็มใจและใส่ใจพร้อมช่วยอย่างเต็มที่โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย

•รับโทรศัพท์ของเพื่อนโต๊ะข้างๆ บ้าง
พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ เวลาที่เพื่อนกำลังยุ่งหรือไม่อยู่โต๊ะ และมีโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะข้างๆ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ใจปล่อยให้มันดังไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเงียบไปเองแต่คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานนั้นจะไม่คิดแบบนั้นจะรีบไปช่วยรับโทรศัพท์นั้น และจะช่วยจดข้อความไว้ให้เพื่อที่จะได้ให้เพื่อนติดต่อกลับไปได้ ลักษณะนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเพื่อนเท่านั้นยังสามารถช่วยองค์กรของเราได้ด้วยเพราะเราอาจจะได้ความพึงพอใจของคนที่โทรเข้ามาซึ่งก็มีแต่ผลดีทั้งนั้น

•ตอบสนองต่อการทำงานในทันทีที่สามารถทำได้
ถ้ามีเรื่องงานติดต่อเข้ามาในช่องทางการสื่อสารต่างๆ เช่น อีเมล์ หรือโทรศัพท์ และเราไม่สามารถรับได้ หรือติดธุระอะไรอยู่ก็ตาม เมื่อไหร่ที่เรามีเวลาเราจะต้องรีบโทรกลับหรือติดต่อกลับให้เร็วที่สุด

ทั้ง.7.พฤติกรรมข้างต้นไม่ได้เป็นพฤติกรรมที่ยากในการประพฤติปฏิบัติแต่ละพฤติกรรมข้างต้นล้วนแต่เป็นพฤติกรรมที่ให้เกียรติต่อบุคคลอื่นที่เราต้องทำงานด้วยทั้งสิ้น.ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน.หัวหน้า.ลูกน้อง หรือแม้แต่ตัวองค์กรของเราที่เราทำงานให้และพฤติกรรมที่เราให้เกียรติต่อคนอื่นนี้เองที่จะทำให้คนอื่นก็ให้เกียรติเราและยอมรับนับถือเรามีความเชื่อมั่นในตัวเรามากขึ้น.ผลสุดท้ายความสำเร็จในหน้าที่การงานก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ
 

7 อาหารฮิต เสี่ยงโรค !


ผู้แบ่งปัน (เล่าให้ฟัง)
นางณัฐฌา  วณิชย์รุจี        
นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)                 
นางเพ็ญประภา พนิชการ              
นักวิชาการคลังปฏิบัติการ                                  
ความรู้เกี่ยวกับ  :7 อาหารฮิต เสี่ยงโรค !
สำนักงานคลังเขต 1




7 อาหารฮิต เสี่ยงโรค !
ปัจจุบันนี้อาหารมีให้เลือกมากมาย แต่อาหารยอดฮิตที่เรารับประทานเป็นประจำนั้น บางชนิดนั้นกลับเสี่ยงต่อโรค ซึ่งอาหารเสี่ยงโรคยอดฮิตมีดังนี้

อาหารเสี่ยงโรค 1 เครื่องดื่มรสหวานต่างๆ เช่น กาแฟเย็น ชาเย็น ชาเขียวนมสด ฯลฯ
ในน้ำหวานประกอบไปด้วยน้ำตาลปริมาณมาก อีกทั้งยังมีแคลอรี่ที่สูง ยกตัวอย่าง เช่น กาแฟเย็นแก้วหนึ่ง มีแคลอรี่เฉลี่ยอยู่ที่ 97-400 กิโลแคลอรี่ โดยเป็นไขมัน 0.4-22.1 กรัม โปรตีน 0.6-10.9 กรัมคาร์โบไฮเดรต 14.4-49.4 กรัม เป็นส่วนที่เป็นน้ำตาล 11-38 กรัม หรือประมาณ 3-10 ช้อนชา 
(ข้อมูลจาก สสส. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) อีกทั้งองค์การอนามัยโลกยังแนะนำไว้ว่าไม่ควรบริโภคน้ำตาลจากอาหารทุกชนิดเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน (ข้อมูลจากแฟนเพจ

“ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์”) คอลัมนิสต์ชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูง
มีความเสี่ยงทำให้สมองพัฒนาช้าลง เนื่องจากในกาแฟมีสารคาเฟอีนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้เกิดความเสี่ยง (ข้อมูลจาก : มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์)

อาหารเสี่ยงโรค 2 น้ำอัดลม 
ในน้ำอัดลมประกอบไปด้วย น้ำ,น้ำตาล,คาเฟอีน,วัตถุกันเสีย, กรดคาร์บอนิก, กรดฟอสฟอริก,สี กลิ่น สี และรส อีกทั้งในน้ำอัดลม1 กระป๋อง (325 มิลลิลิตร) ยังมีน้ำตาลในปริมาณที่สูงมากถึง 38 กรัม หรือประมาณกว่า 7 ช้อนชาเลยทีเดียว
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคเบาหวาน
โรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคอ้วน
โรคความดันสูง
โรคมะเร็ง (ผลสำรวจพฤติกรรมของนักวิจัยของสถาบันคาโรลินสกา ประเทศสวีเดน)
โรคกระเพาะ (คนเป็นโรคกระเพาะควรหลีกเลี่ยง)

อาหารเสี่ยงโรค 3 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประกอบไปด้วยเส้นที่ทำมาจากแป้งสาลี หรือแป้งชนิดอื่นๆ และมาพร้อมเครื่องปรุง ซึ่งประกอบไปด้วยผงชูรสเลยทำให้ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีโซเดียมสูงมาก หากร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินความจำเป็น จะทำให้เกิดอาการอ้วนบวมน้ำ แถมยังเป็นอันตรายต่อไต อีกทั้งยังทำให้ขาดสารอาหารอีกด้วย แต่ถ้าใครเกิดนึกอยากรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาทางที่ดีควรใส่ผัก ไข่และเนื้อสัตว์ ลงไปด้วย อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการเพิ่มสารอาหารหรือนำมาดัดแปลงเป็นเมนูใหม่อย่าง ยำมาม่า ต้มยำมาม่า ฯลฯ นอกจากนี้แล้วนั้นทางกระทรวงสาธารณะสุขแนะนำมาว่าไม่ควรรับประทานมากเกินวันละ 1 ซอง เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคหัวใจ
โรคไต
โรคความดันโลหิตสูง
โรคขาดสารอาหารเพราะมีสารอาหารไม่ครบถ้วน

อาหารเสี่ยงโรค 4 อาหารปิ้งย่าง อาทิ หมูปิ้ง ไก่ปิ้ง ตับปิ้ง ฯลฯ
ในอาหารปิ้งย่างนั้นมีฤทธิ์ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเพราะมีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนและสารเฮทเทอโรโซ คลิกเอมีน ซึ่งสารนี้จะเกิดจากการเผาไหม้โปรตีน  ทั้งนี้ในวารสาร Food Journal (ข้อมูลจากhttp://www.jr-rsu.net) ยังได้ระบุอีกด้วยว่า ข้าวเหนียวครึ่งทัพพีมีพลังงาน 80 กิโลแคลอรี่ หมูปิ้ง 1 ไม้คิดเป็น 130 แคลอรี่ โดยส่วนใหญ่คนจะนิยมรับประทานประมาณ 3 ไม้ ต่อ 1 คน ซึ่งคิดเป็นพลังงาน 470 กิโลแคลอรี่ ซึ่งมีแคลอรี่ใกล้เคียงกับข้าวมันไก่ที่มีแคลอรี่ 457 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคมะเร็ง
โรคอ้วน

อาหารเสี่ยงโรค 5 ขนมขบเคี้ยว ขนมกรุบกรอบ
ไม่ว่าจะเป็น ขนมถุง,ลูกอม,หมากฝรั่ง,ช็อกโกแลต ฯลฯ ซึ่งขนมขบเคี้ยวบางชนิดจะประกอบไปด้วยน้ำตาล ไขมันที่ค่อนข้างสูง ยิ่งในขนมกรุบกรอบด้วยแล้วนั้นส่วนใหญ่จะทำมาจากแป้ง มีไขมันปริมาณสูง อีกทั้งยังพ่วงโซเดียมจากผงชูรสที่เกิดจากการแต่งรสแต่งกลิ่นอีกด้วย
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคไต
โรคความดันโลหิตสูง
โรคอ้วน

อาหารเสี่ยงโรค 6 ขนมปังหรือเบเกอรี่ขัดขาวต่างๆ อาทิ เค้ก คุกกี้ ปาท่องโก๋ เบเกอรี่ต่างๆ
ขนมปังหรือเบเกอรี่ขัดขาวต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็น คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ประกอบไปด้วยแป้งซึ่คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ทันทีหลังจากที่เรารับประทานเข้าไป ทั้งนี้จึงทำให้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างรวดเร็ว ทางที่ดีหากอยากรับประทานขนมปัง หรือเบเกอรี่ต่าง ๆ ควรหันมาทานแบบคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนหรือแป้งที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดขาวอย่าง ขนมปังโฮลวีต,คุกกี้ข้าวโอ๊ต ฯลฯ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าไม่น้อย
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคเบาหวาน
โรคอ้วน
โรคหัวใจ

อาหารเสี่ยงโรค 7 อาหารฟาสต์ฟู้ด
ไม่ว่าจะเป็นแฮมเบอร์เกอร์, เฟรนช์ฟรายส์ และอื่นๆ อาหารประเภทนี้มีปริมาณแป้ง ไขมัน และน้ำตาลสูง หากรับประทานเป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ตามมาได้
ความเสี่ยงต่อโรค :
โรคอ้วน
โรคไขมันในเลือดสุง
โรคหัวใจขาดเลือด
โรคซึมเศร้า (ผลการสำรวจของนักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยตะวันออกของฟินแลนด์)
 เสี่ยงต่อการทำลายตับ (ข้อมูลจาก รายการโทรทัศน์"the doctors" ที่ออกอากาศในหลายประเทศ
)




วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พฤติกรรมทำลายสมอง

ความรู้เกี่ยวกับ  :  พฤติกรรมทำลายสมอง
โดย : นางสาวเนตรยา  วุฒิพันธ์
หน่วยงาน  สำนักงานคลังเขต ๙
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)           
คุณ  กมลทิพย์  พุฒคง
ตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
พฤติกรรมทำลายสมอง
สมอง มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหวและความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ แต่คนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าพฤติกรรมบางอย่างที่กระทำลงไป นอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายไม่พอ ยังทำร้ายสมองด้วย

นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง
1. ไม่ทานอาหารเช้า  หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2.  กินอาหารมากเกินไป  การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความจำสั้น
3.  การสูบบุหรี่  เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์
4.  ทานของหวานมากเกินไป  การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5.  มลภาวะ  สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง
6.  การอดนอน  การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตาย
7.  การนอนคลุมโปง  การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8.  ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย  การทำงานหรือเรียนในขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9.  ขาดการใช้ความคิด  การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด  ทักษะการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
 

เทคนิค ฝึกสมองไบรท์
1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20- 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %
การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

10 เทคนิคจัดการเวลาในแต่ละวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด



10 เทคนิคจัดการเวลาในแต่ละวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ผู้แบ่งปัน                     
คุณศุภมาศ  ยั่งยืน                                 
นักวิชาการคลังปฏิบัติการ กองแผนงาน
คุณลิขิต (จด-ประมวล-กลั่นกรอง)
คุณกมลวรรณ  สุสุทธิพงศ์  นักวิชาการคลังชำนาญการ

10 เทคนิคจัดการเวลาในแต่ละวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
1. กำหนดเป้าหมายและทำให้สำเร็จ
เรื่องแรกที่ควรเข้าใจ คือ ไม่มีกฎตายตัวในการบริหารจัดการเวลา แต่การวางเป้าหมายและมุ่งมั่นทำให้สำเร็จนั้น จะช่วยได้มาก โดยเริ่มจากตั้งเป้าหมายระยะสั้นและยาวในสิ่งที่ฝันไว้ กำหนดรายละเอียดและเส้นตายที่ทำได้จริง การขีดเส้นตายเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันจะช่วยให้คุณเห็นจุดหมายปลายทางความสำเร็จว่าไม่ได้อยู่ไกลเกินไป และควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ด้วย

2. จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ
ถ้าคุณหวังจะทำงานให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดละก็ อย่าให้ความสำคัญของทุกเรื่องเท่าเทียมกัน จงเตรียมลิสต์งานที่ต้องทำให้เสร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จัดลำดับเรื่องด่วนและสำคัญอยู่บนสุด และตามด้วยเรื่องอื่นๆ

3. โฟกัสเฉพาะเรื่องที่ควบคุมได้
ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะร้องไห้คร่ำครวญในสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ เพราะคุณไม่มีทางห้ามดวงอาทิตย์ไม่ให้ลับขอบฟ้า หรือหยุดเวลาไว้ไม่ให้เดิน แต่คุณสามารถควบคุมสิ่งที่ทำหรือคิดได้ตลอดเวลาทั้งวัน ลองนึกถึงวันที่เจ้านายเรียกทุกคนมาบอกว่า ปีนี้ไม่มีการขึ้นเงินเดือน เนื่องจากโดนผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก เชื่อแน่ว่า พนักงานทุกคนคงรู้สึกแย่ๆ แต่นั่นเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของคุณหรือใครๆ ฉะนั้น แทนที่จะมานั่งเสียเวลาเป็นทุกข์ ควรเอาเวลามาคิดว่า “จะหารายได้เสริมจากไหน” ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า


4. รู้จักตัวเองและสภาพแวดล้อม
อาจฟังดูงงๆ แต่การจะทำประโยชน์ให้ได้มากที่สุดในแต่ละวัน คุณต้องรู้จักตัวเองดีเสียก่อน ว่าช่วงเวลาไหนที่คุณกระฉับกระเฉง มีเรียวแรง และตั้งใจทำงานมากที่สุด หรือช่วงไหนที่หมดแรงและไม่อยากทำงานเลย ลองค้นหาช่วงเวลาที่คุณทำงานได้ดีที่สุด และใช้เวลานั้นทำงานสำคัญๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลงานได้อย่างทันตาเห็น

5. ทำงานหรือกิจกรรมหลายอย่างไปพร้อมกัน
มีงานหรือกิจกรรมหลายอย่างที่สามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน เช่น ถ้าต้องใช้เวลาเดินทางบนรถโดยสาร 1 ชั่วโมง จากบ้านไปที่ทำงาน อาจใช้เวลานั้นทบทวนรายงานที่ต้องเสนอในที่ประชุมตอนเช้า หรือฟังเพลงขณะอาบน้ำ ทานข้าวเย็นร่วมกับเพื่อนฝูง ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเวลาแล้ว ยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายด้วย

6. มอบงานให้คนอื่นทำแทน
คำแนะนำข้อนี้ มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนอื่นต้องเข้าใจเสียก่อนว่า คุณไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองได้ทุกเรื่อง จงให้เวลากับงานชิ้นสำคัญที่ต้องลงรายละเอียด และเรียนรู้ที่จะมอบหมายงานที่สำคัญน้อยกว่าให้คนอื่นทำแทน โดยต้องไตร่ตรองอย่างสุขุม รอบคอบ และด้วยความระมัดระวังเสียก่อน

7. ฝึกคิดบวกให้มากๆ
ในแต่ละวันที่ต้องทำงานร่วมกับคนมากมาย ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดความเครียด และหมกมุ่นกับความคิดด้านลบ เช่น กังวล โกรธ เสียใจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะกัดกร่อนทั้งเวลา และสุขภาพกายใจไปทีละน้อย แต่การฝึกคิดด้านดีหรือคิดบวก แล้วทำตามนั้น เป็นคุณสมบัติของคนที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น